ดอนเมือง Low Cost Airport ในอนาคต
15 มกราคม 2550
สัปดาห์ ที่ผ่านมา มีผลงานชิ้นโบว์ดำของรัฐบาล ทักษิณ ให้ได้เห็นกันจะจะ อีก หนึ่งโครงการ
รัฐบาลทักษิณ ตัดสินใจเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนพร้อมจริง ตัดสินใจ เลิกใช้สนามบินดอนเมือง ให้กรุงเทพ มีสนามบินพาณิชย์ เพียงแห่งเดียวที่สุวรรณภุมิ สำหรับคนที่คลั่งไคล้ ชื่นชอบ ผู้นำที่บริหารงานแบบกล้าได้กล้าเสีย หลงใหลสไตล์การบริหารแบบทักษิณ ที่ กล้าตัดสินใจ ไม่จำเป็นต้องฟังความเห็นของผู้อื่น ช่วงเวลานั้นมีแต่ความชื่นชม ยิ่งได้ยินว่า จะมีการสร้างเมืองใหม่ ล้อมรอบ สุวรรณภูมิ ก็พากันตื่นเต้น เห็นดีเห็นงามกันไปหมด
ถึงวันนี้ความจริงปรากฏแล้วว่า การตัดสินใจโดยเอาผลประโยชน์ส่วนตน หรือของ พวกพ้องเป็นที่ตั้ง โดยไม่เคยคิดอย่างจริงใจว่า ประชาชนต้องมาก่อน ไม่ใช่แนวทางการบริหารบ้านเมืองที่ถูกต้อง เพราะเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น อับอายขายหน้าไปทั่วโลก คนที่รับเต็มเต็ม ไม่ใช่ใครอื่น พวก เรา คนไทยผู้เสียภาษี ธรรมดาๆ นั้นเอง
กลับมาอีกครั้ง ดอนเมืองของเรา โชคดีที่รัฐบาลนี้ ยอมรับความจริง แก้ไขปัญหาโดยใช้แนวทางที่เหมาะสม เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน ไม่ฟุ้งเฟ้อใช้เงินภาษีของประชาชนโดยไม่จำเป็น ผมว่านี่แหละเศรษฐกิจพอเพียงครับ
ผมเล่าเรื่องสนามบินดอนเมืองและ สนามบินสุวรรณภูมิ ให้ ได้ อ่านกัน เมื่อต้น พฤศจิกายน ปีที่แล้ว ขออนุญาตเกียจคร้านสักวันนะครับ นำบทความเก่า ที่ยังทันสมัย มาให้อ่านทบทวนกันอีกครั้ง
2 พฤศจิกายน 2549
ข่าวแว่วมาว่าสายการบิน Low Cost ทั้งหลายกำลังอ้อนบริษัทท่าอากาศยานไทย ขอกลับมาใช้สนามบินดอนเมืองอีก ทำให้นึกสงสารตัวเองมากขึ้น ผมว่าท่านผู้อ่านก็คงคิดไม่ต่างจากผมมากนัก สงสารตัวเองเพราะเกิดมาอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ ต้องตั้งคำถามอยู่เสมอเสมอว่า ทำไมเมืองไทยของเราถึงเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งทำอย่าง อีกไม่กี่วันให้หลัง ก็จะทำอีกอย่าง
เดือนหนึ่งผ่านมาแล้ว ที่กลุ่มผู้มีอำนาจ ถือปืนเป็นอาวุธ ลุกขึ้นไล่รัฐบาล ฉีกรัฐธรรมนูญ มีเหตุผลสารพัด ผู้คนทั้งหลายเห็นด้วย เพราะเชื่อว่าไม่มีทางอื่นที่ดีกว่า หัวหน้ารัฐบาลที่ถูกไล่ลงเวที หนีไปกบดานอยู่ต่างประเทศ เผลอไปหน่อยเดียวเอง ภรรยาของอดีตผู้นำคนนี้ เดินสายเข้าพบท่านผู้ใหญ่ที่ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองให้ความเคารพ ข่าวว่าเพื่อขอคารวะ ขนาดโดนข้อหาฉกาจฉกรรจ์ ยังไม่ทันได้พิสูจน์ว่าเท็จจริงอย่างไร ปล่อยให้สร้างภาพกันได้แล้วหรือ หรือว่านี่คือเมืองไทยของเรา ทุกอย่างจึงเป็นแบบไทยไทย ท่านผู้อ่านครับ นี่แหละที่ผมเรียกว่า สงสารตัวเอง
กลับมาเรื่องสนามบินสุวรรณภูมิกันดีกว่า
ประวัติศาสตร์เป็นอย่างนี้ครับ เขาใช้เวลากว่า 30 ปี จึงได้ฤกษ์ ลงมือก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ มัวนั่งเถียงกันเรื่องสถานที่ครับ คนที่สนับสนุนให้สร้างที่หนองงูเห่า ( ชื่อเดิม) มีเหตุผลที่น่าฟัง คือ ที่ดินมีอยู่แล้ว ถ้าต้องหาที่ใหม่ หลายพันไร่ หายาก ค่าใช้จ่ายซื้อที่ดินจะสูงมาก ส่วนคนที่ไม่ชอบหนองงูเห่า ขอให้ย้าย ก็มีเหตุผลที่น่าฟัง คือ ถ้ารัฐบาลจะสร้างสนามบินใหม่ ให้เป็นศูนย์การบินในภูมิภาคนี้ สนามบินที่จะเป็น Hub ต้องอยู่ไกลเมือง อยู่ใกล้ชุมชนไม่ได้ เพราะจะมีเครื่องบิน บินขึ้น ลงตลอด 24 ชั่วโมง มลภาวะด้านเสียงจะรุนแรง อากาศเป็นพิษ นอกจากนั้นแล้ว หนองงูเห่ามีสภาพดินเป็นหนองน้ำเดิม ไม่เหมาะที่จะทำ Runway นี่ผมยังไม่นับที่เขาเถียงกัน ทะเลาะกัน เพราะแบ่งเค้กไม่ลงตัว อีกต่างหาก นะครับ
เถียงกันอย่างนี้น่าจะเกือบ 20 ปี ช่วงนั้นบ้านเราเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยอีกต่างหาก จึงมีหลายความคิด บางช่วง บางรัฐบาลตัดสินใจถึงกับให้ออกแบบก่อสร้างไปแล้ว ก็มี ไปไกลกันถึงว่า จะดัดแปลงสนามบินอู่ตะเภามาเป็นสนามบินพาณิชย์ ก็เคยครับ
ที่สุดก็มีการตัดสินใจว่า เอาที่หนองงูเห่านี่แหละ ท่านผู้อ่านเดาถูกใช่ไหมครับว่า แบบไทยไทยเราหนีไม่พ้น ต้องเลือกแนวทางที่ราคาถูกไว้ก่อน ถูกจริงไหมวันนี้พอจะมองออกแล้วหล่ะ
ขนาดของโรงแรมใหญ่หรือเล็ก ใช้วิธีนับจำนวนห้อง โรงแรมใหญ่ 600 ห้อง ขนาดเล็ก 200 ห้อง ( ขนาดจิ๋วอย่างโรงแรมของผม 30 ห้อง ) ขนาดของสนามบิน ใช้การนับจำนวนผู้โดยสาร ต่อปี ครับ ดอนเมืองปัจจุบัน น่าจะรับได้ 25 ล้านคน แบบสบายสบาย พอมีมาก ถึง 40 ล้านคน ต่อปี จึงแน่นขนัด ขยับตัวไม่ออก
ตอนเซ็นสัญญาก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ออกแบบขนาดสนามบินไว้ที่ 30 ล้านคนต่อปี บริหารระบอบทักษิณ ตัดสินใจโดยคนชื่อ ทักษิณ บอกไม่เอา 30 ล้าน เล็กไป ให้แก้แบบใหม่ ต้องรองรับผู้โดยสารให้ได้ 45 ล้านคน แก้ไข เพิ่มงานกันตอนก่อสร้างละครับ เพิ่มทุกอย่าง ( ยกเว้นส้วม !! ) ทุกรายการที่เพิ่ม ไม่ต้องมีการประมูล ใช้วิธีจัดซื้อ จัดจ้างแบบ พิเศษ CTX , TAGS ได้บุญ ได้กุศล ก็เพราะนโยบายของนายใหญ่สมัยนั้นละครับ
ท่านผู้อ่านเคยสร้างบ้านบ้างไหม ลองบอกผู้รับเหมาให้แก้ไขแบบจาก 3 ห้องนอน เป็น 4-5 ห้อง ขณะที่ช่างกำลังมุงหลังคาดูซิครับ รับรองว่า ผู้รับเหมาต้องร้องออกมาว่า “ ยุ่งตาย… ” อย่างแน่นอน
เข้าใจง่ายง่ายได้อย่างนี้ครับ เดิมเขาวางแผนว่า กรุงเทพเมืองหลวงของเราควร มี สองสนามบิน เก็บสนามบินดอนเมืองไว้ รับผู้โดยสารได้ 25 ล้านคน ส่วน สุวรรณภูมินั้น เบื้องต้นให้รับผู้โดยสารได้ 30 ล้าน รวมสองแห่ง ได้ ถึง 55 ล้านคนต่อปี อยู่ได้สบายสบายไปอีก 10 ปี ลงทุนไม่มาก คิดค่าบริการกับสายการบินที่ใช้สนามบินในราคาที่แข่งขันกับสนามบินคู่แข่ง ได้ ประหยัดด้วย เหมาะกับฐานะของประเทศ เศรษฐกิจพอเพียงครับ
ผมนำบางส่วนของรายงานการศึกษา จัดทำโดย ไจก้า เกี่ยวกับแนวทางการบริหารสนามบิน รายละเอียดมีมาก ผมนำประเด็นสำคัญที่น่าอ่าน คือ ข้อสรุปที่ว่า ดอนเมือง ยังต้องใช้งานไป ระยะหนึ่ง หรือ อาจใช้จนพัง ส่วน SBIA ( Second Bangkok International Airport ) หรือ สุวรรณภูมิ ก็พูดถึงการขยาย เพื่อ ให้เป็น Hub ในอนาคต
คุณทักษิณ อดีต CEO คนเก่งไม่เอา ทิ้งดอนเมือง ใช้นโยบาย กรุงเทพต้องมีสนามบินเดียว ขยายสุวรรณภูมิจาก 30 ล้านเป็น 45 ล้าน ใช้เงินกว่า แสนล้านบาท เชื่อผมไหมครับว่าวันนี้สุวรรณภูมิ มีผู้โดยสารถึง 40 ล้านแล้ว ถ้ายังคงใช้นโยบายคุณทักษิณ สุวรรณภูมิเตรียมขยายได้เลย เพราะกว่าจะเสร็จ ใช้งานได้ก็อีก 5 ปี มัวชักช้าสุวรรณภูมิจะไม่ต่างจากดอนเมืองในอดีตอย่างแน่นอน คือ แน่นขนัด ขยายสนามบินนะไม่ยาก แต่ถามว่า ฐานะทางการเงินของประเทศ รับได้หรือ ที่พึ่งกู้มาหมาดหมาด สนามบินเอย รถไฟฟ้าใต้ดินเอย หนี้สองก้อนรวมกัน ที่เห็นเห็น ก็จะตายอยู่แล้ว
ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ จะทำอย่างไร ไม่สนใจก็ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของความเป็นอยู่ของประชาชน เจ้าของประเทศ ชาวบ้านที่อยู่รอบสุวรรณภูมิน่าสงสาร ไม่ต้องหลับต้องนอน ข่าวว่าบริษัทท่าอากาศยานไทย กำลังเจรจา ขอความร่วมมือจากสายการบิน ขอให้ลดเที่ยวบิน เวลาบิน หรือเส้นทางการขึ้นลง ไม่ว่าจะเจรจาอย่างไร เห็นได้ ชัดแล้วว่า สุวรรณภูมิ เป็นศูนย์การบินภูมิภาคไม่ได้แน่ เพราะเราคงต้อง Curfew สายการบินครับ แปลว่า มีข้อจำกัด ในการใช้สนามบิน ขึ้น ลง 24 ช.ม. ก็คงไม่ได้ ไม่สะดวกครับ เมื่อไม่สะดวก สายการบินก็จะไม่เลือกให้ สุวรรณภูมิ เป็นศูนย์ ผมว่าเรายอมรับความจริงกันเถอะว่า การจะให้กรุงเทพ มีสนามบินที่เป็น Hub นั้น ถ้าอยากจะทำจริงจัง ก็คงทำได้ แต่สภาพผังเมืองและสิ่งแวดล้อม ต้องเอื้ออำนวย ต้องใช้เงินลงทุนอีกมาก ต้องถามตัวเองครับว่า ประเทศของเรามีเงินมากพอที่จะลงทุน สิ่งที่อาจเป็นเพียงเพื่อหน้าตา แต่ ได้ผลตอบแทนต่ำ หรือยัง
แล้วเราจะเดินหน้าต่ออย่างไร รัฐบาลชุดนี้ต้องคิดต่าง ความคิดที่ว่า ขอให้เสร็จเร็ว เร่งงานก่อสร้าง จะได้ไม่ต้องมีการประมูล จะได้ใช้วิธีการจัดซื้อ จัดจ้างแบบพิเศษ ต้องไม่มีให้เห็น รัฐบาลนี้ต้องกล้าที่จะตัดสินใจว่า อาจต้องกลับไปใช้ ดอนเมืองกันใหม่ สายการบิน Low Cost ก็มีกันแล้ว ทำไมจะมีสนามบิน Low Cost บ้างไม่ได้ ทำดอนเมืองให้เป็นสนามบิน Low Cost เสียเลย ปล่อยให้สายการบินเขาตัดสินใจกันเองว่าจะใช้สนามบินไหน สายการบินเขาเก่งกว่าเรา เขาหาวิธีแก้ปัญหากันได้อยู่หรอก เดี๋ยวนี้เขาเกาะกลุ่มกันอยู่แล้ว กลุ่มนี้ลงสุวรรณภูมิ กลุ่มนี้ลงดอนเมือง ต่อเครื่องระหว่างกลุ่มก็สามารถทำได้โดยง่าย
ถ้ากล้าทำแบบที่ผมนำเสนอ เราจะประหยัดการลงทุนได้อีกแสนล้าน นำเงินงบประมาณที่เหลือมาใช้สร้างระบบขนส่งมวลชนให้สมบูรณ์ขึ้น แบ่งเป็นค่ายา สำหรับโครงการ สุขภาพถ้วนหน้า หรือเป็นค่าแบบเรียน ให้ลูกหลานได้เรียนฟรีกันจริงจริง ไม่ดีกว่าหรือครับ.