เทมาเส็ค เจอของแข็ง
วันที่ 12 มีนาคม 2550
ไม่ได้หมายความว่าเทมาเส็คเจอของแข็งจากบิ๊ก ๆ ใน คมช. นะครับ เทมาเส็คกำลังจะได้เจอคู่แข่งทางธุรกิจที่น่าเกรงขาม มองข้ามไม่ได้เป็นอันขาด ไม่ใช่ใครอื่น เดาไม่ยากเลย ประเทศจีนครับ
เมื่อวันที่ 9 มีนาคม สัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของจีน นายจิน เร็งกี่ง
( Jin Renging ) ได้มีการแถลงข่าว ผมนำหัวใจของเนื้อหาที่ได้มีการแถลง สั้นนิดเดียวแต่มีความหมาย มาให้อ่านกันครับ
“We will model it on international best practices, including that by Singapore’s Temasek.”………… “ We will try to maximize the profits and returns on our management of foreign exchange, guided by the principles of safety and risk management.”
จับความได้ว่า “เรา (รัฐบาลจีน) จะใช้รูปแบบการลงทุนตามแนวปฎิบัติแบบสากลที่ดีที่สุด รวมถึงแนวทาง (การลงทุน) แบบกองทุนเทมาเส็คของสิงคโปร์ ”…. “เราจะพยายามให้ได้กำไรและผลตอบแทนสูงสุด จากการบริหารเงินตราต่างประเทศ โดยใช้แนวทางหลักของความปลอดภัยและการบริหารความเสี่ยง”
ที่ผมว่ามีความหมายเพราะรัฐบาลจีนมีเงินสำรองที่เป็นเงินตราต่างประเทศสูงถึง $ 1.7 ล้านล้าน
เหรียญดอลล่าร์ ส่วนหนึ่งสะสมจากการปกป้องค่าเงินหยวน รัฐบาลจีนได้ประกาศว่าจะนำเงินส่วนหนึ่งของเงินสำรองที่เป็นเงินตราต่าง ประเทศ ประมาณ 2 แสนล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ นำไปหากำไรโดยการลงทุนในรูปแบบคล้ายกับกองทุนเทมาเส็ค คำแถลงของจีนในครั้งนี้กล่าวขวัญกันไปทั่วในวงการนักลงทุน กองทุนเทมาเส็คน่าจะกังวลมากที่สุด เจอคู่แข่งที่มีเงินลงทุนมากกว่าสองเท่า (เทมาเส็คมีหน้าตักอยู่ 8 หมื่นล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ ) ถ้าจีนจัดตั้งกองทุนนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว บริษัทชินอาจตกเป็นของจีนไปแล้วก็ได้ ถือว่าเป็นโชคดีของจีนก็แล้วกันครับ
ผมนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังเพราะอยากจะให้ท่านผู้อ่านได้มีข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบ เปรียบเทียบระหว่างจีนกับไทยครับ
ธนาคารชาติจีนขาดทุนจากการแทรกแซงค่าเงินหยวน
ธนาคารชาติไทยเราก็ขาดทุนจากการแทรกแซงค่าเงินบาท
ธนาคารชาติจีนบริหารเงินสำรองมีกำไรมากเกินพอที่จะชดเชยผลขาดทุนที่เกิดจากการแทรกแซง
ธนาคารชาติไทยไม่ได้แถลงว่าบริหารอย่างไร บอกแต่ว่าขาดทุน ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ธนาคารชาติจีนไม่หยุด แต่เดินหน้าต่อเพื่อหาผลกำไรและผลตอบแทนสูงสุด
ธนาคารชาติไทย!!!!!!!!!!!!
ผมไม่มีเจตนาที่จะตั้งหน้าตั้งตาจับผิดผู้บริหารธนาคาร แห่งประเทศไทย ถ้าจะมองหานักการเมืองที่สนใจงานของธนาคาร ที่รักสถาบันแห่งนี้ ผมน่าจะเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในระดับต้นต้น ผู้บริหารธนาคารรุ่นเมื่อ 10 ปีที่แล้วขึ้นไป จะทราบดี ผมเป็นคนหนึ่งที่ผลักดันให้ได้มีการปรับอัตราเงินเดือนแบบสุดๆ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ได้คนดีมีฝีมือมาบริหารธนาคาร
ทิศทางการบริหารวันนี้น่าเป็นห่วง ยิ่งรักมาก ยิ่งหวงแหนมาก ก็ยิ่งเป็นห่วงมาก มีข้อเสนอครับ ลองฟังดู
ธนาคารต้องรีบโดยเร่งด่วน สรรหาคนดีมีฝีมือ ตั้งทีมงานมาช่วยกันบริหารเงินสำรองที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ณ. วันที่ 2 มีนาคม มีอยู่ 66,513 ล้านเหรียญสหรัฐ ถ้ามีทีมงานอยู่แล้ว ก็หามืออาชีพมา เสริมทีมปัจจุบัน ให้แกร่งขึ้น ท่านต้องคิดให้หนัก ตอบตนเองให้ได้ว่าทำไมเราเก็บเงินสำรองไว้เป็นสกุลดอลล่าร์สหรัฐถึงร้อยละ 70 ที่เหลือเป็นสกุลอื่นๆ ร้อยละ 30 ทำไมไม่กลับกัน คือ ร้อยละ 70 เป็นสกุลอื่นๆ ร้อยละ 30 เป็นสกุลดอลล่าร์สหรัฐ
อย่ามัวแต่จะนั่งคอยว่า อีกไม่นาน เงินบาทก็ต้องอ่อนค่า ถึงวันนั้นแล้วก็จะกำไรเสียด้วยซ้ำไป คงคิดอย่างนั้นไม่ได้ครับ โลกสมัยนี้ ไม่มีใครมานั่งรอวันที่สวรรค์มาโปรดแล้ว ถ้าจะนำคำของนักธุรกิจ “bottom line ” มาใช้กับค่าของเงินบาท น่าจะมีความหมายว่า เป้าหมายท้ายที่สุดของค่าเงินบาทคือความมีเสถียรภาพ และแข็งแกร่ง ไม่ใช่เหรอครับ.