ขายสมบัติชาติ ขายความมั่นคง
ท่านผู้อ่านเคยคิดสงสัยหรือไม่ครับว่า ครอบครัวของคุณทักษิณค้าขายอะไร ถึงได้ร่ำรวยมีเงินมากมายมหาศาลขนาดนั้น อย่าพูดถึงเงินเป็นหมื่นล้านเลย แค่ว่ารวยเป็นพันล้าน พวกเราก็คิดไม่ออกแล้ว ว่าต้องทำมาหากินวิธีไหน ใช่ไหมครับ ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปหรอกครับ ตอนนี้เรารู้แล้วว่าสิ่งที่สามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับครอบครัวของคุณทักษิณ เกิดจากการทำธุรกิจที่เกี่ยวกับการขายสมบัติของชาติทั้งสิ้น
ต้องเข้าใจก่อนว่าทรัพย์สมบัติของชาติที่ผมพูดถึงหมายถึงอะไรกันแน่ สมบัติของชาติมีหลายประเภท หลายรูปแบบ ทั้งสมบัติที่อยู่ใต้ดิน สมบัติที่อยู่บนดิน และที่มีอยู่ในอากาศ
เริ่มที่สมบัติใต้ดินก่อนก็ได้ครับ
สมบัติของชาติเราที่อยู่ใต้ดินและนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ขณะนี้คือก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบ หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ไปหาผลประโยชน์ โดยการนำก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันดิบมาใช้ คือ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า ปตท.
ก่อนหน้าที่เราจะมีนายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณ ชินวัตร ปตท. เป็นรัฐวิสาหกิจของคนไทยคนไทยเป็นเจ้าของ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมอบให้กระทรวงการคลังถือหุ้นแทน รัฐบาลในอดีตสนับสนุนการดำเนินงานของ ปตท. โดนสนับสนุนหาแหล่งเงินกู้จำนวนหลายแสนล้านบาท เพื่อให้ ปตท. สามารถดำเนินโครงการที่สำคัญ ๆ เช่น การลงทุนวางท่อก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย การก่อสร้างโรงแยกก๊าซ และรับซื้อก๊าซจากปากหลุมที่รัฐบาลให้สัมปทานกับนักขุดเจาะหาแหล่งก๊าซธรรมชาติ หรือน้ำมันดิบที่เป็นบริษัทจากต่างประเทศเพื่อนำสู่ขบวนการผลิตและจำหน่าย
ปตท. ซื้อก๊าซมาในราคาหนึ่งจากปากหลุม ส่งผ่านท่อ และนำมาจำหน่ายต่อในราคาหนึ่ง ได้ผลกำไรจากการหักต้นทุนค่าท่อและค่าขนส่งก๊าซ กำไรเหลือเท่าไหร่เป็นรายได้ของปตท. รายได้ส่วนหนึ่งนำไปลงทุนต่อ รายได้อีกส่วนหนึ่งส่งเข้ากระทรวงการคลังเป็นรายได้เงินงบประมาณของแผ่นดิน
สมบัติของชาติที่ปตท. นำมาขาย คือก๊าซและน้ำมันดิบ ซึ่งในแต่ละปี ปตท. สามารถทำรายได้ที่ได้จากการขายก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันดิบมูลค่ามหาศาล ท่านผู้อ่านเห็นแล้วนะครับว่าการที่ ปตท. ได้กำไรก็ดีเพราะเอาสมบัติของชาติไปขาย ทำมาหากินวิธีอื่น ไม่มีทางมีรายได้มากมายขนาดนี้หรอกครับ แต่ทุกคนเห็นด้วย เต็มใจและภูมิใจ เพราะประชาชนเจ้าของประเทศได้ประโยชน์จาก ปตท. เต็มร้อย
ที่น่าเศร้าคือ ตอนนี้ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไม่ใช่สมบัติของเราทั้งหมดอีกต่อไปแล้ว นับตั้งแต่คุณทักษิณได้นำเอาหุ้นของ ปตท. ไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
ท่านผู้อ่านลองคำนวณดูครับว่า กำไรของปตท. ที่จากเดิมเคยย้อนกลับมาเป็นรายได้ของแผ่นดินเพื่อนำไปพัฒนาประเทศ วันนี้กำไรที่คนไทยควรจะได้ หายไปเป็นมูลค่าเท่าไหร่แล้วที่หายไปนั้นตกอยู่ในมือของใคร
วันที่คุณทักษิณนำเอาหุ้น ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์ คุณทักษิณบอกว่าจะขายหุ้นเพียงร้อยละ 40 หุ้นส่วนใหญ่ยังเป็นของคนไทย โดยรัฐบาลยังเป็นคนถืออยู่ แต่วันนี้เป็นอย่างไรครับ กระทรวงการคลังถือหุ้นปตท. ไม่ถึงครึ่งแล้ว แต่อ้างว่า ปตท. ยังเป็นรัฐวิสาหกิจนั้น เป็นหุ้นในนามกองทุนวายุภัคน์นั่นเอง
มูลค่าหุ้นของปตท. ขึ้นอยู่กับราคาของพลังงาน วันที่รัฐบาลขายหุ้นปตท. ได้เงินน้อยนิดขายได้หุ้นละ 30 กว่าบาท เพราะราคาพลังงานขณะนั้นยังถูกอยู่ วันนี้ราคาน้ำมันสูงขึ้นกว่าเดิมไปมาก หุ้นปตท. ปรับราคาสูงกว่า 230 บาทต่อหุ้น ขาดทุนและเสียหายไปกี่หมื่นล้าน ถ้าคุณทักษิณเก่งจริงคงไม่ทำงานผิดพลาดขนาดนี้
ถึงวันนี้เรามีสมบัติของชาติเหลืออยู่ใต้ดิน ไม่ว่าจะเป็นก๊าซหรือน้ำมันดิบ คำนวณมูลค่าเทียบเป็นน้ำมันดิบได้ไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านล้านบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบบาร์เบลละ 70 เหรียญสหรัฐ สมบัติของชาติส่วนนี้ ประมาณได้ว่ามีมูลค่าปัจจุบันที่ 4,000 ล้านล้านบาทเดิมเป็นของเราทั้งหมด วันนี้เหลือไม่ถึงครึ่ง
ที่พูดมาเป็นแค่เพียงกิจการของ ปตท. เท่านั้นนะครับ ยังมีกิจการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.ที่รัฐบาลของคุณทักษิณต้องการนำหุ้นเข้าไปขายในตลาดหลักทรัพย์ เดินตามรอยปตท.
กฟผ. ถือเป็นสมบัติของชาติอีกอย่างหนึ่งที่อยู่บนดินครับ ที่พอจะมองเห็นได้คือ เขื่อนและสายส่งไฟฟ้าแรงสูงที่วางพาดสายทั่วประเทศ เช่นเดียวกับรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ครับประชาชนยินดีให้ กฟผ. เป็นผู้ทำประโยชน์จากสมบัติของชาติเหล่านี้ กฟผ. ทำกำไรปีหนึ่งได้มาก แต่ไม่มีใครว่าเพราะเราไม่ห่วง เมื่อมีกำไร เงินไม่ได้ตกหล่นไปไหน ประชาชนได้กำไรคืนมาในรูปแบบของรายได้งบประมาณแผ่นดิน โชคดีของประเทศครับที่มีการระงับการขายหุ้น กฟผ. ในตลาดหลักทรัพย์ จากศาลปกครอง ทำให้คุณทักษิณจำใจต้องหยุดการนำ กฟผ. เข้าตลาดหลักทรัพย์
โล่งอกไปที
สมบัติของชาติอีกประเภทหนึ่งอยู่ในอากาศ เรียกว่า คลื่นความถี่ สมบัติของชาติส่วนนี้แหละครับ ที่สร้างความมั่งคั่งให้กับคุณทักษิณและครอบครัวอย่างมหาศาล
อดีตที่ผ่านมา คลื่นความถี่มีประโยชน์เฉพาะในเรื่องของกิจการที่เกี่ยวกับวิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งก็เป็นกิจการที่เป็นของรัฐทั้งหมด บางอย่างรัฐก็ทำเสียเอง แต่บางประเภทรัฐก็ปล่อยสัมปทานให้เอกชนที่เป็นคนไทยรับทำไปในรูปแบบต่าง ๆ กัน ไม่อยากจะบอกว่าโครงการที่ไม่ดี รัฐทำเอง ส่วนของดี ๆ นั้นยกให้เอกชนทำ คนรุ่นพ่อเคยบ่นให้ฟัง จับความได้ว่าคล้าย ๆ อย่างนั้น
ต่อมาภายหลังกิจการโทรคมนาคมมีการพัฒนาเทคโนโลยีสูงขึ้น สามารถนำคลื่นความถี่ไปใช้ประโยชน์ในด้านการสื่อสารแบบทันสมัยสุด ๆ นั่นคือ โทรศัพท์เคลื่อนที่หรือโทรศัพท์ไร้สาย เหมือนเดิมครับ รัฐบาลมีการให้สัมปทานกับบริษัทเอกชนของคนไทยหลายบริษัท เปิดโอกาสให้นำเทคโนโลยีและคลื่นความถี่ ลงทุนประกอบธุรกิจในกิจการโทรศัพท์ไร้สาย ส่วนที่รัฐบาลทำเองโดยมอบสิทธิให้รัฐวิสาหกิจไปดำเนินการก็มี รัฐวิสาหกิจบางแห่งได้คลื่นความถี่จากรัฐ แต่ไม่ต้องการทำโครงการด้วยตนเอง ก็ขอความร่วมมือกับภาคเอกชนมาทำร่วมกันในรูปแบบของสัญญาสัมปทานก็มี บริษัท เอไอเอส ของคุณทักษิณเป็นบริษัทหนึ่งที่ได้รับสัมปทานดังกล่าว นี่คือที่มาครับ
ท่านผู้อ่านครับ แม้ว่าคลื่นความถี่ถือเป็นสมบัติของชาติ ทุกคนก็ตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องนำสมบัติของชาตินี้มาก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ไม่มีใครโต้แย้งในการที่รัฐบาลอนุญาตให้เอกชนนำสมบัติของชาตินี้ไปใช้ประโยชน์ เพราะเราถือว่าบริษัทเอกชนนั้นเป็นบริษัทของคนไทย ขอเพียงให้สัญญาสัมปทานนี้เป็นธรรมกับทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายนักลงทุน
บริษัท เอไอเอส เป็นบิษัทในเครือของบริษัทชิน ได้รับสัญญาสัมปทาน นำคลื่นความถี่ ไปประกอบธุรกิจโทรศัพท์มือถือ ธุรกิจที่เกี่ยวกับสมบัติของชาติแบบนี้แหละ ที่ทำกำไรมาก กำไรเป็นหมื่นล้าน เป็นแสนล้าน
บริษัท Shin Sattellite ก็ไม่ต่างกัน มีโครงการส่งดาวเทียมขึ้นไปโคจรนอกโลกต้องใช้สมบัติของชาติ คือตำแหน่งวงโคจรของดาวเทียม เช่นเดียวกับบริษัท ITV ที่ต้องใช้คลื่นความถี่ในการส่งเสียงและภาพไปถึงผู้ชมทางบ้าน นี่ก็สมบัติของชาติอีก
มาถึงวันนี้คุณทักษิณขายหุ้นของบริษัทชินให้กับกองทุนเทมาเส็ค ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์เป็นเจ้าของร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้วยราคาหุ้นละ 49.25 บาท สูงกว่าราคาซื้อขายในตลาดแสดงให้เห็นชัดเจนว่ากองทุนเทมาเส็คนั้นไม่ได้มาซื้อหุ้นเฉพาะหุ้นในส่วนของครอบครัวคุณทักษิณเท่านั้น แต่เทมาเส็คต้องการซื้อกิจการทั้งหมด ตัวเลขก็ออกมาชัดครับ ไม่ได้กล่าวหากันลอย ๆ วันนี้กองทุนเทมาเส็คเป็นเจ้าของบริษัทชินประมาณร้อยละ 96
ตรงนี้แหละครับที่เป็นประเด็นสำคัญ เพราะสิ่งที่ครอบครัวของคุณทักษิณขายไปนั้นเป็นกิจการที่เกี่ยวข้องกับสมบัติของชาติ จึงมีคำถามเกิดขึ้นว่า การขายกิจการเหล่านี้ให้กับรัฐบาลต่างชาติจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐมากน้อยแค่ไหน?
ผมว่าเราต้องให้ความเป็นธรรมกับคุณทักษิณเหมือนกัน คุณทักษิณชี้แจงว่า สมบัติเหล่านี้ ไม่ได้หนีไปไหน เจ้าของใหม่ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็เอาไปไม่ได้ เชื่อได้ไหมครับ
ผมมีความเชื่อว่า การซื้อขายกิจการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติในรูปแบบนี้ไม่น่าจะเป็นครั้งแรกในโลก ค้นคว้าแล้วได้พบครับว่า มีคล้าย ๆ ของเราเหมือนกันแต่สิ่งที่ผู้นำประเทศอื่นเขาทำกัน ดูมีความห่วงใยประเทศมากกว่าผู้นำเรามากมาย เทียบกันไม่ได้เลย
ท่านผู้อ่านลองเปรียบเทียบกรณีของ บริษัท Global Crossing ซึ่งอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการเปลี่ยนเจ้าของบริษัทกันนะครับ
บริษัท Global Crossing เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ มีบริษัทในเครือจำนวนมากเปรียบเทียบแล้ว เหมือนบริษัทชิน ที่มีบริษัทในเครือ เช่น เอไอเอส หรือ ชินแซท เป็นต้น
บริษัทในเครือของ Global Crossing ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการวางเคเบิ้ลใต้น้ำทั่วโลก และให้บริการกิจการด้านโทรคมนาคม เช่น บริการอินเตอร์เน็ต บริการรับส่งสัญญาณที่เป็นทั้งข้อมูล เสียง และภาพ
ใบอนุญาตดำเนินกิจการดังกล่าวออกโดย FCC คือ Federal Communication Commission ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นองค์กรกำกับธุรกิจกิจการโทรคมนาคม ถ้าเทียบกับของไทย องค์กรนี้ก็คือ กทช. (คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ)
ที่น่าสนใจคือ บริษัท Global Crossing เกิดปัญหาล้มละลายครับ
ต้องเปลี่ยนเจ้าของ ได้เจ้าของใหม่ ไม่ใช่ใครอื่น เป็นกองทุนเทมาเส็คของรัฐบาลสิงคโปร์นั่นเอง เทมาเส็คใช้บริษัทในเครือ คือ S.T. Telemedia เป็นผู้ซื้อหุ้นของ Global Crossing จำนวนร้อยละ 61.5
ไม่ต่างอะไรกับการที่บริษัทชินเปลี่ยนเจ้าของจากครอบครัวชินวัตรและครอบครัวดามาพงศ์ โดยการขายหุ้นให้เทมาเส็ค ผ่านบริษันนอมินีทั้งหลาย ตามที่เราทราบกันอยู่
เมื่อนำมาเปรียบเทียบแล้ว เราจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนในเรื่องของความมั่นคง
FCC ในฐานะผู้ออกใบอนุญาตประกอบกิจการของบริษัทในเครือ Global Crossing เข้ามามีบทบาทครับ FCC ไม่ปล่อยให้บริษัท Global Crossing ทำอะไรได้ตามอำเภอใจ โดยเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ถ้าจะเปลี่ยนเจ้าของไม่ว่ากัน แต่ต้องขออนุญาตก่อน ต้องนำสู่ขบวนการขออนุมัติ
FCC พิจารณา 3 ประเด็นหลักก่อนจะอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นได้ เริ่มตั้งแต่ประเด็นที่เกี่ยวกับการแข่งขัน (Competition Factors) ประเด็นที่เกี่ยวกับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ (Foreign Investments) และท้ายสุดคือ ประเด็นความมั่นคงของประเทศ (National Security)
หลังการพิจารณาแล้ว FCC อนุญาตให้เปลี่ยนเจ้าของกิจการได้ แต่เป็นการอนุญาตที่มีเงื่อนไขครับ เงื่อนไขกำหนดว่าจ้างของใหม่ต้องลงนามข้อตกลงที่เรียกว่า Network Security Agreement คือ ข้อตกลงด้านความมั่นคงของระบบเครือข่าย
ที่สำคัญกว่านั้นคือ หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐตั้งแต่กระทรวงยุติธรรม (DOJ) เอฟบีไอ(FBI) กระทรวงกลาโหม (DOD) และกระทรวงความมั่นคงภายใน (DHS) มีบทบาทในการเจรจาหาข้อยุติเพื่อนำไปสู่ข้อตกลงกับบริษัท Global Crossing ก่อนการเปลี่ยนเจ้าของเป็นรัฐบาลสิงคโปร์
ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ยังต้องระมัดระวังเรื่องความมั่นคงขนาดนี้
กลับมาดูที่บ้านของเราบ้างซิครับ FCC ของไทย คือ กทช. ไม่แสดงบทบาทใด ๆ ทั้งสิ้น องค์การโทรศัพท์ เจ้าของสัญญาสัมปทานที่เป็นคู่สัญญากับบริษัท เอไอเอส ก็เงียบเฉย
ไม่นับถึงหน่วยงานของรัฐอีกหลายแห่งเช่นกัน หรือเป็นเพราะว่าผู้ขายคือครอบครัวของนายกรัฐมนตรี ทุกคนเลยเป็นใบ้กันไปหมด หรือว่าความรู้น้อย จึงทำอะไรไม่ค่อยถูกหรือว่า ธุระไม่ใช่!
หรือว่า “ความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ความมั่นคงของฉัน”
สุดจะเดาครับ
พูดกันจริงแล้ว ถึงวันนี้ ก็ยังไม่สายเกินไป เชิญ เทมาเส็ค มานั่งโต๊ะเจรจาได้นะครับวางหลังเกณฑ์ เรื่องความมั่นคงของชาติ ถ้าไม่ทำตามที่เราเห็นว่าเหมาะสม ยกเลิกสัมปทานเสียเลย
สัญญาสัมปทาน ข้อ 2 วรรค 2 เขียนไว้ชัดเจน
“บริษัทต้องดำเนินการบริการให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญานี้ และโดยถูกต้องตามกฎหมาย ห้ามบริษัทรับบริการเพื่อประโยชน์อื่นใด นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในสัญญานี้ หรือที่อาจก่อให้เกิดภยันตรายต่อสังคม หรือความมั่นคงของรัฐ หากบริษัทไม่ปฏิบัติตามสัญญานี้ ทศท. มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกร้องข้อเสียหายได้”
คุณทักษิณชี้แจงว่า ของทุกอย่างยังเป็นของคนไทยอยู่ เทมาเส็คได้เพียงแค่สิทธิในการลงทุน ในการบริหาร แล้วเก็บกำไรไปเท่านั้นเอง เรายังเชื่อคำพูดของคุณทักษิณได้อีกแค่ไหนครับ ผมว่าเราควรจะมีข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับเทมาเส็คคือรัฐบาลสิงคโปร์ เหมือนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ต้องไม่ลืมว่าสัมปทานที่รัฐให้กับบริษัทชินยังเหลือเวลาอีกหลายปี กว่าจะถึงวันนั้นผมไม่แน่ใจว่า เราจะคงเหลืออะไรที่เป็นของเราอย่างที่คุณทักษิณว่าไว้หรือไม่ แต่ที่แน่นอนที่สุดวันนี้คุณทักษิณร่ำรวยจากการขายทรัพย์สมบัติของชาติไปถึงเจ็ดหมื่นกว่าล้านบาทไปแล้ว เรื่องของอนาคต ไม่ต้องพูด เป็นเรื่องของลูกหลานไทยที่ต้องรับภาระกันเอง อย่างนี้จะไหวหรือครับ
Tags: ทักษิณ, ทุจริต, ใครว่าคนรวยไม่โกง