ฟอกเงินหรือเปล่า
ท่านผู้อ่านยังจำคดีซุกหุ้นภาคหนึ่งได้ไหมครับ ในคำวินิจฉัยส่วนตัวของคุณประเสริฐ นาสกุล ได้ปรากฏชื่อบริษัทหนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่คุ้นหูท่านผู้อ่านมากนัก แต่ผมว่าบริษัทนี้มีพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลคล้ายกับบริษัท Ample Rich และประเด็นสำคัญเจ้าของบริษัทนี้น่าจะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับเจ้าของบริษัท Ample Rich แบบที่อาจจะเรียกได้ว่า เป็นคนคนเดียวกันเชียวครับ
ลองมา ดูกันครับว่า คุณประเสริฐพูดถึงบริษัทนี้ไว้ว่าอย่างไร น่าสนใจไม่น้อยไปกว่า บริษัท Ample Rich เลยครับ
“อีกเรื่องหนึ่ง แม้เหตุการณ์ที่ผู้ร้องไม่ต้องยื่นบัญชีแล้ว เมื่อผู้ถูกร้องและคู่สมรสขายหุ้นบริษัท เอส ซี เค เอสเตท จำกับ 35 ล้านหุ้นเศษ และจำนวน 20 ล้านหุ้น หุ้นละ 10 บาท เป็นเงิน 550 ล้านบาทเศษ ให้กับบริษัท Win Mark Limited ถือสัญชาติ British Virgin Islands วันที่ 1 สิงหาคม 2543 ผู้ถูกร้องยืนยันว่า การขายหุ้นครั้งนี้เป็นการขายหุ้นตามปกติ ไม่มีลักษณะการฟอกเงินแต่ประการใด”
ท่านเขียนต่อไปว่า “ทำให้เกิดปัญหาสงสัยต่อไปว่า บริษัทผู้ซื้อใช้เงินสกุลใด มาจากที่ใด ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่”
ใช่แล้วครับ บริษัทที่ผมจะนำท่านผู้อ่านไปทำความรู้จัก ก็คือ บริษัท Win Mark หรือ บริษัท ชนะ มาร์ค ครับ ท่านผู้อ่านอาจจะคิดเหมือนผมนะครับว่า คนตั้งชื่อบริษัทนี้ช่างคิดหาชื่อที่แสดงเจตนาจะให้มีความหมายที่ซ่อนนัยทางการเมือง ได้ลึกซึ้งเสียจิรงๆ
ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านคุ้นเคยกับบริษัท Ample Rich มาบ้างแล้ว ดังนั้นการทำความเข้าใจกับ บริษัท Win Mark คงจะไม่ยาก เพราะบริษัท Win Mark เปรียบไปแล้วก็เหมือนญาติสนิทกับบริษัท Ample Rich เลยทีเดียว
จะไม่ให้เปรียบเหมือนญาติสนิทได้อย่างไร เพราะไม่ว่าจะเป็นสถานที่กำเนิด หรือเรียกในภาษาของกระทรวงพาณิชย์ว่าสัญชาติ สถานที่ติดต่อ รวมถึงพฤติกรรมการลงทุนของทั้งสองบริษัทนี้ ช่างเหมือนกันเหลือเกิน
บริษัท Ample Rich ถือสัญชาติ บริติช เวอร์จิน ไอร์แลนด์ บริษัท Win Mark ก็ถือสัญชาติ บริติช เวอร์จิน ไอร์แลนด์ เช่นกัน
บริษัท Ample Rich ตั้งอยู่ที่ ตู้ ปณ. 3151 Road Town, Tortola, British Virgin Islands ส่วนบริษัท Win Mark ก็ตั้งอยู่ที่ ตู้ ปณ. 3151 Road Town, Tortola, British Virgin Islands เหมือนกัน ใช้ตู้ ปณ. ตู้เดียวกันครับ
ลองดูพฤติกรรมการลงทุนของทั้งสองบริษัท ตรงกับสิ่งที่ท่านอดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ตั้งข้อสังเหตไว้เป็นอย่างมาก
ทั้งบริษัท Ample Rich และบริษัท Win Mark ชอบที่จะลงทุนโดยการซื้อหุ้นในประเทศไทย ที่น่าสนใจคือ เป็นการลงทุนโดยการซื้อหุ้นจากคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น และคนชื่อ ทักษิณคนนี้ก็ใจดีเป็นพิเศษ คือขายหุ้นให้ทั้ง บริษัท Ample Rich และบริษัท Win Mark ในราคาทุนคือราคาพาร์ทุกครั้งเช่นกัน
บริษัท Ample Rich ลงทุนซื้อหุ้นบริษัทชิน จากคุณทักษิณในราคาพาร์ คือหุ้นละ 10 บาท จำนวนถึง 32.92 ล้านหุ้น เก่งมากครับ เพราะซื้อได้ในราคาต้นทุน ทั้งที่ราคาตลาดมีมูลค่าเกือบ 5 พันล้านบาทในขณะนั้น
บริษัท Win Mark ก็ไม่ด้อยกว่ากันครับ
บริษัท Win Mark ลงทุนซื้อหุ้นบริษัท เอส ซี จากคุณทักษิณในราคาพาร์ คือหุ้นละ 10 บาท จำนวนถึง 55 ล้านหุ้น วันที่บริษัท Win Mark ซื้อหุ้นของบริษัท เอส ซี บริษัทยังไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จึงประมาณค่าไม่ได้ แต่เมื่อบริษัท เอส ซีจดทะเบียนนำหุ้นจำหน่ายในตลาด หุ้นเลยมีราคาสูงถึง 30 กว่าบาทต่อหุ้น กำไรสบายๆ เป็นพันล้าน
ทำไมคุณทักษิณถึงใจดีกับบริษัทต่างชาติขนาดนั้นครับ
และน่าสงสัยไหมครับว่า ทำไม บริษัท Ample Rich และ บริษัท Win Mark จึงมีความผูกพันกับ คุณทักษิณเสียเหลือเกิน
สำหรับบริษัท Ample Rich เราคงไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว เพราะตอนนี้ความจริงปรากฏว่า คุณทักษิณเป็นคนตั้งบริษัทนี้ด้วยตนเอง เป็นเจ้าของบริษัทแต่เพียงผู้เดียว แต่สำหรับญาติสนิทที่ชื่อ ชนะ-มาร์ค (Win Mark) นี่ซิครับ ยังไม่มีข้อมูลชี้ชัดว่าใครเป็นเจ้าของ
บริษัท Ample Rich ซื้อหุ้นจากคุณทักษิณ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2542 และต่อมาขายหุ้นให้ลูกชาย ลูกสาวของคุณทักษิณเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 ในราคาทุน ลงทุน 7 ปี ไม่มีกำไรแม้แต่บาทเดียว กำไรเฉพาะเงินปันผลที่ได้รับในแต่ละปีเท่านั้น ไม่ต้องถามก็รู้ว่า บริษัท Ample Rich ซื้อขายหุ้นในราคาพาร์ ทำเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เป็นการบริหารภาษีอย่างชาญฉลาดและอาจนำหุ้นมาซื้อขายเพื่อพยุงราคาหุ้นพร้อมกันไป
พฤติกรรมของบริษัท Win Mark ก็ไม่ต่างกันครับ
บริษัท Win Mark ลงทุนซื้อหุ้นบริษัท เอส ซี เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 หลังจากนั้นอีก 3 ปี คือในวันที่ 19 สิงหาคม 2546 ก็ได้โอนหุ้นทั้งหมดให้บริษัท Value Assets Funds Ltd. สัญชาติมาเลเซีย เท่านั้นไม่พอ 3 อาทิตย์ต่อมา คือเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2546 บริษัท Value Assets Funds Ltd. ก็โอนหุ้นทั้งหมดให้ 2 กองทุนมาเลเซีย คือกองทุน OGF และ ODF
ท่านผู้อ่านสังเกตให้ดีจะพบว่า การโอนหุ้นเหล่านี้ เกิดขึ้นใกล้ๆ ช่วงเวลาที่บริษัท เอส ซี กำลังดำเนินการเพื่อจดทะเบียนนำหุ้นเข้าซื้อ-ขาย ในตลาดหลักทรัพย์
แล้วก็มาถึงช่วงสำคัญ ซึ่งเป็นช่วงที่ บริษัทชนะมาร์ค (Win Mark) หรือกองทุนเหล่านี้ได้เล่นบทเป็นผู้เสียสละอย่างใหญ่หลวงให้กับครอบครัวชินวัตร
เสียสละอย่างไรครับ
เมื่อบริษัท เอส ซี มีการเพิ่มทุน เพื่อนำหุ้นเข้าตลาด กองทุนทั้งสองได้โอนสิทธิในการเพิ่มทุนจำนวน ถึง 71 ล้านหุ้นให้กับลูกสาวทั้งสองของคุณทักษิณ
หุ้นของบริษัท เอส ซี เข้าซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 ราคาวันนั้นปิดที่ 27 บาท/หุ้น กองทุนจากมาเลเซียเสียผลประโยชน์ไปเกือบ 2,000 ล้านบาท คนที่ได้ประโยชน์คือลูกสาวทั้งสองของคุณทักษิณ
ถึงวันนี้ กองทุนทั้งสองคือ OGF หรือ ODF ยังครอบครองหุ้นจำนวนมากในบริษัท เอส ซี แต่ก็ไม่ส่งบุคคลใด เข้ามาเป็นกรรมการในบริษัทแต่อย่างใด
แม้ว่าคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แจ้งต่อ ก.ล.ต. ว่า กองทุนของมาเลเซียทั้งสองกองทุนไม่มีความสัมพันธ์กับตระกูลชินวัตร
ใครจะเชื่อครับ
เพราะพฤติกรรมแบบนี้ ดูเหมือนจะทำให้เข้าใจได้ว่าเจ้าของบริษัท ชนะ-มาร์ค (Win Mark) รักใคร่บุตรสาวของคุณทักษิณราวกับเป็นบุตรสาวของตนเอง ไม่เช่นนั้น สิทธิพิเศษแบบนี้จะให้กันได้อย่างไร
คนที่คิดมากเขาบอกว่า ตอนบริษัท Win Mark ลงทุน เป็นการลงทุนอย่างจริงจัง ต่างกับการลงทุนของบริษัท Ample Rich เพราะมีการจ่ายเงินจริง คุณทักษิณ ได้รับเงินสดๆ เจ้าตัวเองก็เคยได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อไว้หลายฉบับ แล้วทำไมบริษัท Win Mark ถึงได้ยอมเสียผลประโยชน์โดยถึงวันนี้ยังไม่ได้ผลตอบแทนที่ชัดเจนเลย พวกที่คิดมากเขาบอกว่า สงสัยบริษัทนี้มีเงินสกปรกอยู่ในมือ และต้องการฟอกเงิน นำเงินนี้เข้าประเทศไทยให้กลายเป็นเงินใสสะอาดในมือของผู้ขาย ไปไกลกันถึงขนาดว่า น่าจะเป็นเงินที่ได้จากการเก็งกำไรค่าเงินบาท ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งยิ้มซิครับ จริงหรือไม่ ผมไม่ทราบ ไม่กล่าวหาใคร แต่กล้าฟันธงได้ว่า ไม่นานเกินรอ ความจริงจะปรากฏ
ที่กล่าวหาได้ชัดกว่า น่าจะเป็นเรื่องการลงทุนของ บริษัท Ample Rich เมื่อสักครู่ท่านผู้อ่านได้เห็นประเด็นที่ผมเปรียบเทียบการซื้อหุ้นเพื่อการลงทุนของทั้งสองบริษัทแล้วว่า บริษัท Win Mark จ่ายเงินจริง แต่ บริษัท Ample Rich ไม่ปรากฏว่ามีการชำระเงินระหว่างผู้ซื้อ คือ บริษัท Ample Rich และผู้ขาย ได้แก่ คุณทักษิณ ชินวัตร หลายคนบอกว่า ในเมื่อเจ้าของเป็นคนๆ เดียวกัน ก็ไม่น่าเป็นปัญหา ไม่ได้หรอกครับ โดยเฉพาะในทางบัญชี ต้องมีการบันทึกให้ถูกต้อง บริษัทก็คือบริษัท เป็นนิติบุคคล เจ้าของบริษัทไม่เกี่ยว หุ้นที่ซื้ออยู่ในชื่อบริษัท ไม่ใช่ชื่อเจ้าของ
เมื่อบริษัทต้องการจะลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นบริษัทข้ามชาติ บริษัทต้องนำเงินเข้ามาลงทุนอย่างจริงจัง จะมาโอนชื่อเปลี่ยนเจ้าของหุ้นกันเป็นว่าเล่น โดยไม่มีการชำระเงินค่าหุ้นได้อย่างไร เพราะเวลาได้รับผลประโยชน์จากการลงทุน กรณีบริษัท Ample Rich นี่ เฉพาะเงินปันผลที่ได้รับ ก็ปาเข้าไปเกือบ 2 พันล้านบาท ส่งไปต่างประเทศสบายๆ ไม่ต้องขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทย เงินไม่ต้องจ่าย เวลารับ รับจริง ผิดกฎหมายหรือไม่ ถือเป็นการลักลอบส่งเงินออกนอกประเทศหรือเปล่า
การโอนหุ้นที่มีเจ้าของเป็นคนในประเทศ ที่เรียกว่าหุ้นกระดานในประเทศ ไปเป็นหุ้นกระดานต่างประเทศ โดยมีการซื้อขายในราคาพาร์ ขณะที่ราคาซื้อขายจริงสูงกว่าหลายเท่าทำไม่ได้ เพราะเท่ากับเป็นการนำเงินออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากผู้ซื้อสามารถนำหุ้นดังกล่าวขายในตลาดทันที ในราคาที่แท้จริง และสามารถทำกำไรมหาศาล (เกิดขึ้นจากการสมยอมของผู้ขาย ที่ขายหุ้นในราคาต่ำ) ส่งออกนอกประเทศได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
ผมคิดมากไปหรือเปล่า ธนาคารชาติอยู่ที่ไหน หลับดีอยู่หรือครับ ช่วยบอกผมหน่อยว่าผมคิดมาก ผมเข้าใจผิด ทำได้ ไม่มีปัญหา ธนาคารชาติอนุญาต
มีนักวิชาการ บอกผมว่า บริษัท Ample Rich อาการหนัก เพราะทุนจดทะเบียนเพียง 1 เหรียญดอลลาห์สหรัฐ หรือประมาณ 40 บาท หุ้นที่ บริษัท Ample Rich ซื้อจากคุณทักษิณ ราคาต้นทุน 329 ล้านบาท บริษัท Ample Rich จะนำเงินจากไหนมาลงทุน
ไม่สำคัญครับ ท่านผู้อ่านอย่างเพิ่งหลงประเด็น บริษัท Ample Rich กู้เงินมาลงทุนซื้อหุ้นได้ง่ายกว่าปอกล้วยเข้าปากเสียอีก ใช้หุ้นชินที่ซื้อในราคาทุนนี่เหละครับ เป็นหลักประกัน เรื่องหมู หมู สถาบันการเงินทุกที่ยินดีอยู่แล้ว
ประเด็นที่สำคัญกว่าคือ ถ้าไม่มีการจ่ายเงิน กลายเป็นการซื้อขายทางบัญชี ถ้าเป็นในรูปแบบนี้ ต้องบันทึกเป็นลูกหนี้ เจ้าหนี้ครับ เอาละซิ ผู้ขายชื่อ ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีการบันทึกรายการเป็นเจ้าหนี้จากการขายหุ้นให้บริษัท Ample Rich ปรากฏในบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สินที่ยื่นต่อ ปปช.
ปปช. มีคณะกรรมการเรียบร้อยเมื่อใด กลายเป็นคดีซุกหุ้นภาคสองทันที
แก้ปัญหานี้ได้ครับ นำหลักฐานแสดงการรับเงินจากการขายหุ้นให้บริษัท Ample Rich มาแสดงให้สาธารณชนทราบ ดีไหมครับ ?
Tags: ทักษิณ, ทุจริต, ใครว่าคนรวยไม่โกง