Korbsak Sabhavasu's Blog

6 ธันวาคม 2551

ข่าวคณะกรรมการนโยบายการเงินของธปท.ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งเดียว ถึง ร้อยละ ๑ อาจทำให้หลายคนแปลกใจ แต่ถ้าท่านได้ลองดูแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศที่ผมนำมาแสดงนี้ก็ จะเห็นชัดว่า ท่านผู้ว่าการธปท.ของเรากำลังทำหน้าที่ไม่ต่างไปจากผู้กุมบังเหียนนโยบายการ เงินของประเทศอื่น ๆ เช่นกัน

ผมถือว่าเป็นระฆังยกแรกที่เริ่มขึ้นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของไทยที่ได้ เข้าสู่โหมด เศรษฐกิจถดถอย เป็นจังหวะการตัดสินใจที่ดีเพราะดูท่าว่าการเมืองอาจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น หรืออย่างน้อยที่สุดคงไม่มีสภาพแย่ลงไปกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา

รู้กันอยู่ว่านโยบายการเงินอย่างเดียวแก้ปัญหาไม่ได้ แต่การใช้นโยบายการคลังไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ หรือมาตรการด้านภาษี เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งสิ้น ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว งานที่เกี่ยวกับการเมืองขยับตัวได้ช้าและยากลำบาก ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่จะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรและจะได้เริ่มทำงานอย่าง จริงจังเมื่อไหร่ ยังดูมืดมนอยู่

จึงต้องหวังที่จะได้เห็นท่านผู้ว่าการธนาคารเดินหน้าในการใช้นโยบายการ เงิน ในเชิงรุกเข้าแก้ไขปัญหาโดยเร็วเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจของประเทศต้องทรุดหนักลง ไปกว่านี้อีก เพราะถ้าช้าไปจะทำให้แก้ไขยากจนอาจเกินกว่าจะเยียวยารักษาได้

ธปท.ต้องใช้ความเป็นอิสระที่เรียกร้องมานาน ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังและต้องพร้อมที่จะรับผิดชอบงานของบ้านเมือง จะมารอนักการเมืองคงจะไม่ได้

อีกเรื่องหนึ่งที่อดไม่ได้ที่จะดีใจ ไชโย ให้กับธปท. คือเรื่องการแทรกแซงค่าเงินบาทครับ

ท่านผู้อ่านที่ติดตามค่าของเงินบาทคงจำกันได้ว่า ปีที่แล้วค่าเงินบาทแข็งตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นผลพวงจากการอ่อนค่าของเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐ จำได้ใช่ไหมครับว่าผู้ส่งออกของเราโวยวายกันขนาดไหน ธปท.ในขณะนั้นต้องเข้าไปแทรกแซงค่าเงิน โดยการนำเงินบาทมาซื้อเงินดอลล่าร์ กว่า ๖ เดือนที่ค่าเงินวิ่งไปในทิศทางเดียว ธปท.แทรกแซงอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ได้แค่ชะลอไม่ให้ค่าเงินผันผวนมากเกินไป ทำให้ธปท.ขาดทุนจากการแทรกแซงเป็นเงินนับแสนล้านบาท (มีดอลล่าร์อยู่ในมือมากและดอลล่าร์อ่อนค่าลงทุกวัน)

แล้วมาถึงวันที่เศรษฐกิจสหรัฐพังพินาศ เศรษฐกิจถดถอยอย่างไม่เคยมีมาก่อน ไม่มีกำลังซื้อ ไม่มีการใช้จ่าย ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงจาก $140 มาอยู่ในระดับที่ $ 40 – $ 50 เหรียญต่อบาร์เรล ทางการสหรัฐออกมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการทุ่มเงินเข้าช่วยเหลือสถาบัน การเงินอย่างไม่อั้น พร้อมกับใช้นโยบายดอกเบี้ยให้ต่ำ โดยไม่กลัวเงินเฟ้อ เป็นผลให้ราคาทองคำลดลงอย่างต่อเนื่องและค่าดอลล่าร์แข็งขึ้น ( นักวิเคราะห์คาดการณ์ผิดไปหลายราย ) มีกฎที่ควรจำไว้คือ ถ้าเงินเฟ้อต้องถือทองคำ และถ้าเงินฝืด ต้องถือดอลล่าร์ วันนี้เงินฝืดแน่นอนครับ

ความต้องการดอลล่าร์ทั่วโลกทำให้ค่าของดอลล่าร์ปรับตัวสูงขึ้น ธปท.ถือดอลล่าร์ไว้มากจากการแทรกแซงค่าเงินเมื่อต้นปี จึงได้โอกาสดีที่จะขายคืน ทำกำไรชดเชยที่เคยขาดทุนไว้

ดูจากตัวเลขด้านบนแสดงว่าเมื่อเดือนก.พ. 2551 ถือฐานะสุทธิไว้ $ 23,319.58 ล้าน ถึงเดือน ต.ค. ที่ผ่านมาเหลือในมือเพียง $ 8,898.00 ล้าน ขายไปถึงประมาณ $ 14,000 ล้านหรือประมาณ 500,000 ล้านบาท( ตัวเลขในส่วนที่ใช้ในการแทรกแซงค่าเงินเท่านั้น )

ดูอัตราแลกเปลี่ยนประกอบไปด้วยครับ ก.พ. 2551 สะสมดอลล่าร์ ที่ 31-32 บาท ขายดอลล่าร์หนักเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ที่ 33-34 บาทต่อหนึ่งดอลล่าร์ ที่เคยขาดทุนไว้น่าจะได้คืนมาบางส่วน

เล่ามาให้ฟังทั้งหมดเป็นมุมมองของคนวงนอกที่เฝ้าดูการทำงานของทีมงานธปท. ผมเป็นคนหนึ่งที่อยากเห็นธปท.เป็นสถาบันที่ประชาชนพึ่งได้ องค์กรดี ๆ ที่เราเคยมีอยู่หดหายไปจนจะไม่เหลืออยู่แล้ว จำได้ว่าสมัยเรียนจบใหม่ ๆ แม้กระทั่งเมื่อเข้ามาในงานการเมือง ๒๐ ปีก่อน เมื่อเอ่ยถึงกระทรวงการคลัง กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ทุกคนมีแต่ชื่นชมยกนิ้วให้

ถึงวันนี้ครับ อย่าให้พูดเลย บทบาทของกระทรวงที่กล่าวถึงทั้งหลายดูแล้วไม่จืด ทำให้ต้องคิดหนักว่าเกิดอะไรขึ้น คนดีทีเป็นผู้นำของกระทรวง ของกรมกองทั้งหลาย หายไปไหนหมด เป็นลูกน้องนักการเมือง ทำงานเพื่อนักการเมือง เพื่อพรรคการเมืองไปหมดแล้วหรือ

ธนาคารแห่งประเทศไทยก็เกือบล่มสลายไปเหมือนกัน จำรายชื่อคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยที่แต่งตั้งโดยรมว.คลังที่ชื่อหมอสุ รพงษ์ได้ไหมครับ เกือบไปแล้ว โชคดีว่ารัฐบาลนายสมัครพังไปเสียก่อน เรื่องของคณะกรรมการธปท.นี่ก็ยังค้างอยู่ รัฐบาลที่จะเข้ามาใหม่ต้องรีบจัดการให้เรียบร้อย หาคนดีมาช่วยกันทำงาน เหลือธนาคารแห่งประเทศไทยไว้ซักองค์กรหนึ่งที่ทำงานเพื่อประเทศชาติก็ยังดี

สงสัยต้องลุยเรื่องของการเมืองใหม่กันอย่างจริงจังเสียแล้วซิครับ.