1-2-3 GO (3G) ตอนจบ
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (4 พ.ย.) ครม.เศรษฐกิจถกกันเรื่อง 3G ด้วยครับ ท่านนายกอภิสิทธิ์นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน กระทรวงไอซีทีเจ้าของเรื่องเป็นผู้นำเสนอ กระทรวงฯ ต้องการให้ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบแนวทางการเดินหน้าต่อของทีโอทีในเรื่องของ 3G กทช.ถึงแม้จะเป็นองค์กรอิสระ ก็ได้เข้าประชุมในวันนั้นเช่นกัน
ผมในฐานะที่เป็นกรรมการคนหนึ่ง อยู่นิ่งไม่ไหว ถือโอกาสนำเรื่องที่เคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง สาธยายให้ผู้เข้าร่วมประชุมครม.เศรษฐกิจได้รับทราบ ผมเริ่มที่สัญญาสัมปทานมือถือระหว่างรัฐวิสาหกิจ (ทีโอที กสท.) และภาคเอกชนที่ได้มีการแก้ไขกันหลายครั้งหลายหน และกฤษฎีกามีความเห็นว่าเป็นการแก้ไขที่ผิดกฎหมาย ให้เร่งดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง แต่หน่วยงานกลับละเลย ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาแล้วกว่าสองปี
ในที่ประชุมถ้าจำไม่ผิดทั้งทีโอทีและกสท. ที่เข้าร่วมประชุมด้วย นั่งฟังแบบนิ่งๆ เก๋ไปอีกอย่าง
ผมร่ายต่อด้วยแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคมที่ระบุว่าสัญญาสัมปทานให้ยุติ ภายในปี 2553 แต่มีคนหัวใสนำไปตีความผิดๆ เช่นไปตีความว่าให้ยกเลิกสัญญาสัมปทานได้ ผมขยายความให้ฟังในวันนั้นว่า ครม.ให้ความเห็นชอบแผนแม่บทนี้ไม่ได้หมายถึงการอนุญาตให้ยกเลิกสัญญา สัมปทาน แต่หมายถึงการนำมูลค่าสัญญาทั้งหมดมาคำนวนให้เป็นมูลค่าในปี 2553 คู่สัญญาจะชำระเงินทั้งหมดในวันยุติสัญญาหรือชำระในช่วงเวลาตามกำลังความ สามารถก็ตกลงกันได้ ถือว่าเป็นการยุติสัญญาสัมปทาน
สำคัญสุดคือแนวทางการออกใบอนุญาต 3G และการเตรียมการประมูลของกทช. ที่เข้าใจได้ว่าอาจมีผลกระทบกับรายได้ของรัฐฯที่ได้จากสัญญาสัมปทาน ปัจจุบัน เพราะจะมีการโอนย้ายลูกค้า 2G ของบริษัทที่จ่ายค่าสัมปทานให้กับรัฐฯ (ร้อยละ 20-25) ไปใช้บริการ 3G ของบริษัทฯที่แบ่งรายได้ให้กทช. (ร้อยละ 6.5)
สาธยายเสร็จแล้วก็นั่งฟัง ต้องบอกว่าคำชี้แจงไม่ได้ต่างไปจากที่ได้ยินมาเกือบทุกเรื่องที่เข้าประชุม ในคณะกรรมการชุดอื่นๆ ค่อนข้างจะชินเสียแล้ว ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามระบบราชการเดิมๆ คงจะวนไปวนมาอย่างนี้ หาทางออกยากเต็มที
ผมถามตัวผมเองว่า เราจะเดินหน้าต่ออย่างไรดี ผมว่าเรื่องนี้ต้องจบแล้ว มัวแต่นั่งกังวล นั่งบ่น คงจะไม่ได้ บ้านเมืองต้องเดินหน้าต่อ เทคโนโลยีใหม่ๆรอใครก็ไม่ได้เช่นกัน ปัญหามีมากแต่มีไว้ให้แก้ไข ไม่ใช่พอมองเห็นปัญหาแล้วก็ปล่อยไว้ ไม่แก้ปัญหาเดิมเพราะไม่ได้ประโยชน์ เดินหน้าต่อเฉพาะส่วนที่เป็นประโยชน์กับตนหรือพวกพ้อง อย่างนี้รับไม่ได้
มองแนวทางการแก้ไขไว้อย่างนี้
ผมเป็นประธานคณะกรรมการ กนร. เป็นคณะกรรมการที่กำกับงานนโยบายของรัฐวิสาหกิจ คงต้องเร่งประชุมโดยนำเรื่องการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ผิดกฎหมายนี้มาพิจารณา เพื่อส่งต่อครม. ให้มีมติเร่งรัดกระทรวงดำเนินการ และน่าจะได้รวมแผนยุติสัญญาสัมปทานในปี 2553 (ตามแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม) เข้าด้วยกัน คือเจรจาแก้ไขให้แล้วเสร็จพร้อมกันไป ควรกำหนดเวลาด้วย เช่นวางเป้าหมายไว้ 180 วัน
เป็นโจทย์ใหญ่แต่เป็นหัวใจ เพราะเมื่อทำสำเร็จ ภาคเอกชนทุกรายจะกลับมายืนอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน แปลว่าทุกคนสามารถเข้าประมูลใบอนุญาตประกอบการใหม่ได้อย่างเท่าเทียมกัน และไม่ต้องกังวลเรื่องของการย้ายฐานลูกค้าอีกต่อไป แต่อุปสรรคในการเจรจามีมาก เช่น
รัฐฯ โดยทีโอที มีรายได้จากสัญญาสัมปทาน (AIS) ประมาณ 23,000 ล้านบาทต่อปี สิ้นสุดสัญญาปี 2558 เหลืออีก 7 ปี รายได้ส่วนนี้ไม่หนี 160,000 ล้านบาท ส่วน กสท. มีรายได้ประมาณ 15,000 ล้านบาทต่อปี (AIS 1800 สัญญาหมดปี 2556 DTAC 800 – 1,800 สัญญาหมดปี 2561 TRUE 1,800 สัญญาหมดปี 2556) คิดเฉลี่ยทุกสัญญา 4–9 ปี รายได้น่าจะรวมแล้วกว่า 100,000 ล้านบาท รวมรายได้เรื่องของมือถือที่เป็นส่วนแบ่งให้กับรัฐฯ เกือบ 200,000 ล้านบาท
ความยากคือต้องแปรมูลค่าของสัญญาตามอายุที่เหลือประมาณ 200,000 ล้านบาทนี้ มาเป็นมูลค่าปี 2553 อุปสรรคที่ตามมาคือหลังจากปี 2553 เอกชนจะประกอบกิจการต่อได้อย่างไร แบบไหน ใช้ใบอนุญาตออกโดยใคร เพราะเมื่อสัญญาสัปทานสิ้นสุดลง (ก่อนกำหนด) ผู้ประกอบการต้องมีใบอนุญาตใบใหม่มาใช้ในการประกอบกิจการการต่อ จะเห็นได้ว่า แต่ละเรื่องไม่ใช่จะตกลงกันโดยง่ายนักเพราะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มหาศาล
การออกใบอนุญาตใหม่ 3G ของกทช.จะสอดคล้องและทำได้ง่ายขึ้น ถ้าอุปสรรคที่กล่าวไว้เบื้องต้นได้รับการแก้ไขให้แล้วเสร็จก่อนการ ประมูล หลายฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องยาก ควรปล่อยให้สัญญาสิ้นสุดตามปกติ ผมมองต่างครับ ที่สัญญาเช่าที่ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลที่ลาดพร้าวกับการรถไฟ หรือสัญญาสัมปทานช่อง 3 กับอสมท. สัญญายังไม่สิ้นสุดก็เห็นเริ่มเจรจากันแล้ว ที่เจรจาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มี ทำไมการต่อสัญญาก่อนวันสิ้นสุดของสัญญาทำได้ง่าย แต่ถ้าจะให้ได้ยุติสัญญาก่อนกำหนดถึงแสนยาก น่าคิดไหมละ
จึงมีแนวความคิดว่า ถ้ากทช.ร่วมมือกับทางราชการ กำหนดหลักการประมูลว่า ค่าใบอนุญาต 3Gสำหรับผู้ประกอบการเจ้าประจำ ต้องมีมูลค่าไม่น้อยไปกว่ารายได้ที่รัฐได้จากสัญญาสัมปทาน หรือกำหนดว่าผู้ประมูลต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงหรือทางอ้อมกับ เอกชนที่มีสัญญาสัมปทาน แปลความว่าใบอนุญาตออกให้เฉพาะผู้ประกอบการรายใหม่จริงๆ หรืออาจอนุญาตให้รายเก่าประมูลก็ได้ แต่ต้องมีข้อยุติในเรื่องของสัญญาสัมปทานเดิมที่มีกับภาครัฐเสียก่อน
เห็นใจครับว่าแนวที่นำเสนอนี้ไม่ง่าย เหนื่อยหน่อย แต่ประเทศจะได้ประโยชน์สูงสุด ปัญหาเก่าที่ไม่เป็นธรรมจะได้รับการแก้ไข เดินหน้ากันใหม่โดยเป็นกติกาที่ภาคเอกชนได้รับความเสมอภาค ไม่มีพวกใครพวกมัน แข่งขันกันอย่างจริงจัง ภาครัฐฯได้ประโยชน์เต็มที่ เจ้าของประเทศที่ไม่ได้ใช้ 3G ไม่บ่นเพราะมีรายได้จากการขายคลื่นความถี่เข้าสมทบกับงบประมาณปกติ เงินนี้นำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อย่างดียิ่ง (เรียนฟรี ประกันรายได้ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ)
สำหรับผู้บริโภค ผู้ใช้บริการทั้ง 2G และ 3G ก็จะได้ประโยชน์ จะได้ของดีและราคาที่เป็นธรรม เพราะจ่ายค่าบริการบนพื้นฐานทีมีการแข่งขันของธุรกิจอย่างเสรี และโปร่งใส
จะเหนื่อยยากอย่างไร เป็นหน้าที่ของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นภาคราชการประจำ ภาคการเมือง หรือแม้กระทั่งองค์กรอิสระ ไม่ใช่หรือ.