ยุทธศาสตร์ประเทศ (ตอนที่ ๓ – ผมรักประเทศไทย)
สัปดาห์นี้ขอคุยต่อจากที่ค้างไว้ อยากให้อ่านบทความ “ ผมรักกรุงเทพ ” ก่อน เพื่อจะได้มีความต่อเนื่องครับ
“ ผมรักกรุงเทพ” เขียนไว้ช่วงที่ผมปลีกวิเวกอยู่ที่ปายและเป็นช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน
เป็นความฝันของคนที่ผ่านเกษียณแล้วและยังพอนึกภาพออกว่ากรุงเทพฯหน้าตาเป็นอย่างไรในอดีต ที่นั่งเขียนในวันนั้นดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ความฝัน เรียกว่าฝันลมๆแล้งๆก็คงไม่ผิดนัก
ผมรักประเทศไทย เข้าสู่โมดที่ไม่ใช่ความฝันครับ แต่ขยับมาเป็นเรื่องของความอยาก ความต้องการที่จะให้ความฝันเป็นความจริงให้ได้ วันนี้จะคุยให้ฟังว่าความฝันจะมีโอกาสเป็นจริงได้หรือไม่
ยุทธศาสตร์ปรเทศ ตอนที่๓ เป็นข้อเสนอในการลงทุนภายใน ๔-๖ ปีหน้าของบริษัทประเทศไทยครับ (มีผลประโยชน์ทับซ้อนที่จะทำความฝันของผมให้เป็นจริงซ่อนอยู่ด้วย)
ขอเริ่มที่ประตูทางเข้า – ออก ของประเทศ (ทางอากาศและทางน้ำ) เพราะรายได้ของประเทศหนีไม่พ้นการค้าขายในเวทีการค้าโลกและต้องผ่านประตูเข้า -ออกนี้ครับ
ทางอากาศที่เห็นชัดๆคือการลงทุนในสนามบินนานาชาติ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น ต้องลงทุนต่อยอดให้ทันสมัยพร้อมบริการอย่างดีเยี่ยม รวมไปถึงสนามบินระดับรองเช่น สมุย กระบี่ ฯลฯ
สนามบินของกรุงเทพฯ ทั้งดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ให้มีการลงทุนควบคู่กัน แยกผู้บริหารและการบริหารจัดการของทั้งสองสนามบิน ให้มีความเป็นอิสระและให้มีการแข่งขันกันเอง รัฐฯวางนโยบายให้ทั้งสองสนามบินมีความเป็นพิเศษ(unique) ในการดำเนินธุรกิจ เช่น ดอนเมืองอาจเป็นสนามบินที่มีประสิทธิภาพและการบริการที่ดีเยี่ยมในราคาย่อมเยา ส่วนสุวรรณภูมิเป็นสนามบินที่มีความหลากหลาย ครบทุกรูปแบบ เป็นต้น ปล่อยให้ลูกค้าเขาเลือกใช้กันเอง ไม่ต้องบังคับว่าต้องบินภายในและหรือระหว่างประเทศเท่านั้น
ขยายการลงทุน Airport Link เพื่อต่อเชื่อมระหว่าง ดอนเมืองและสุวรรณภูมิ
ทางน้ำ เรามีประตูเข้า – ออก ของสินค้าทางเรือสองแห่งใหญ่คือ ท่าเรือกรุงเทพ (ขนาด ๑.๐ ล้านตู้) ท่าเรือแหลมฉบัง (ขนาด ๓.๕ ล้าน ตู้)
การลงทุนท่าเรือถือเป็นหัวใจของการสร้างรายได้ให้กับประเทศ ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องคิดสร้างเมืองที่มีเอกลักษณ์โดยเฉพาะเสียที ถ้าอ้างถึง core business ข้อเสนอของผมคือกำหนดให้บริษัทลูก จังหวัดชลบุรี แหลมฉบัง มีcore business เพิ่ม (นอกจากการท่องเที่ยว) คือเป็นเมืองท่าของบริษัทประเทศไทย (Laem Chabang – Harbor City) ครับ
ถ้าตกลงกันได้ เชื่อมกรุงเทพฯ – แหลมฉบัง ด้วยรถไฟฟ้าความเร็วสูง ต่อกับเส้น Airport Link ที่สุวรรณภูมินั่นละครับ เริ่มลงทุนคู่ขนาน คือการวางแผนการใช้พื้นที่ให้สอดคล้องกันทั้งแถบซีกตะวันออกชายฝั่งทะเลอ่าวไทย จาก ตราด จันทบุรี ระยอง มาบตาพุด ชลบุรี (พัทยา) ลงทุนเส้นทางคมนาคมให้ครบเพื่อเชื่อมต่อพื้นที่ยุทธศาสตร์
หยุดขยายการลงทุนที่ท่าเรือกรุงเทพฯและทยอยลดขนาดการบริการจนเหลือศูนย์ หลังจากนั้นห้ามนำที่ดินท่าเรือมาใช้สร้างศุนย์การค้าอย่างเด็ดขาด วางแผนสร้างสวนสาธรณะริมแม่น้ำเจ้าพระยา พิพิธภัณฑ์ โรงลคร ปลูกต้นไม้ใหญ่ให้เต็มไปหมด ( ทำฝันผมให้เป็นจริง)
สำหรับผู้ถือหุ้นที่อยู่ในบริเวณแหล่งเสื่อมโทรม ( คลองเตย) ควรพัฒนาให้เป็นศูนย์ เอสเอ็มอี เพื่อเป็นช่องทางการทำมาหากินพร้อมสร้างแฟลตมาตรฐานให้ประชาชนแถบนั้นได้มีโอกาสใช้ชีวิตความเป็นอยู่อย่างมีคุณภาพมากกว่าปัจจุบัน
เมื่อเรามีเมืองท่าที่สมบูรณ์ ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศจะสูงขึ้น เป็นการลงทุนของบริษัทแม่เพื่อสนับสนุนให้บริษัทลูกๆสามารถค้าขายแข่งขันในเวทีโลกได้ แน่นอนครับ การศึกษา การลงทุนท้องถิ่น ตลอดจนการบริหารของหน่วยราชการต้องปรับปรุงใหม่หมด บริหารจัดการให้เดินไปในทิศทางเดียวกันเพื่อรองรับภารกิจของความเป็นเมืองท่าที่ทันสมัย ดำเนินการได้โดยใช้กฎหมายพื้นที่พิเศษที่ได้เคยคุยให้ฟังไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
การลงทุนประตูทางเข้า - ออก ทั้งทางน้ำและทางเรือ ให้สมบูรณ์แบบในทุกมิติ นอกจากจะส่งเสริมสินค้าที่เป็น core business คือเกษตรและท่องเที่ยวไม่ให้เป็นรองใครแล้ว ยังจะได้เพิ่มโอกาสในการแข่งขันเพื่อการส่งออกให้กับสินค้าตัวอื่นๆ (รถยนตร์ จิวเวอรรี่ สิ่งพิมพ์ ฯลฯ) อีกด้วย
กลับมาที่กรุงเทพฯครับ เราหยุดความเจริญของกรุงเทพฯไม่ได้แต่เราต้องควบคุม ไม่ใช่ออกกฎหมายควบคุมนะครับ แต่บริษัทประเทศไทยต้องลงทุนในบริษัทๆลูกๆ (จังหวัดอื่นๆ) ให้ทันสมัย สดวกสบายและน่าอยู่ เปิดโอกาสให้กับคนที่คิดจะย้ายมากรุงเทพฯหรือคนที่อยู่กรุงเทพฯและพร้อมย้ายออก โดยการสร้างงาน สร้างทางเลือกให้เขาเหล่านี้
ที่ไหนมีการลงทุน ที่นั่นมีการสร้างงาน มีงานมีคนครับ การลงทุนต้องครบ ต้องมีโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีโรงเรียนที่ไม่แพ้หรือดีกว่าโรงเรียนในกรุงเทพฯอย่างนี้เป็นต้น บริษัทลูกทั้ง ๗๖ บริษัทก็ไม่ได้มีความพร้อมไปทั้งหมด ต้องเลือกกันละครับว่าจะเริ่มที่ไหนกันบ้าง และต้องฉลาดเลือกไม่ใช่เลือกเพราะแรงกดดันทางการเมือง
ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากเห็นกรุงเทพฯเป็นป่าคอนกรีต ที่เต็มไปด้วยมลภาวะเลวร้ายทั้งน้ำ อากาศ เสียง จราจร ถ้าถามผมว่าเรากำลังเดินหน้าไปสู่จุดนั้นหรือไม่ คำตอบคือถึงแล้วครับและกำลังดิ่งลงเหวมากลงไปอีก
แต่บริษัทลูกเช่นกรุงเทพฯยังคงต้องมีการลงทุนต่อไปอีกระยะหนึ่ง การลงทุนรถไฟฟ้า ใต้ดิน บนดินต้องรีบสร้างให้ครบ loop โดยเร็ว ให้เสร็จทั้งภายในเขตกรุงเทพฯ แล้วค่อยขยายเชื่อมต่อไปยังจังหวัดปริมณฑล แต่อย่าสร้างกันตลอดการณ์ ต้องกำหนดให้ชัด ๔-๖ ปีน่าจะเพียงพอแล้ว ถ้าก่อสร้างไม่รู้จักหยุด จะสร้างงานมาก คนทะลักเข้ากรุงเทพมากขึ้นไปอีก ปัญหากลับมาที่เก่า เป็นวงจรอุบาทครับ
กรุงเทพฯเป็นเมืองใหญ่ ปัญหาจราจรแก้ไม่ได้ถ้าคนกรุงเทพฯยังต้องขับรถส่วนตัวไปทำงานหรือรับส่งลูกหลานไปโรงเรียน แต่เราไม่สามารถสร้างกฎ ระเบียบ แล้วนำมาใช้บังคับเพื่อแก้ปัญหาจราจร ต้องสร้างทางเลือก วันนี้ยังไม่มีทางเลือก รัฐบาลจึงต้องเร่งลงทุนเพื่อสร้างทางเลือกครับ
ระบบรถเมล์ทำได้เร็วและต้องรีบดำเนินการ ปรับเส้นทาง ใช้รถเมล์ที่ทันสมัย ซื้อ เช่าไม่ใช่ประเด็น อย่างไหนดีที่สุดก็ต้องกล้าตัดสินใจ อย่าให้มีฮั้ว มีโกงเป็นใช้ได้ เมื่อสร้างรถไฟฟ้าเสร็จ มีรถเมล์ใหม่บริการ คนกรุงเทพฯจะตัดสินใจเองว่าจะเดินทางแบบไหนที่ถึงที่หมายเร็วและถูกสุด ถ้าน้ำมันแพง ที่จอดรถไม่มี หรือมีก็สุดแพง ไม่รวยจริงไม่นั่งรถเก่งส่วนตัวหรอกครับ
รัฐฯสามารถใช้กลไกทางภาษี เพื่อนำรายได้จากผู้ที่ใช้รถเก่งส่วนตัวมาจุนเจือให้ราคาค่าโดยสารรถเมล์ รถไฟฟ้า ถูกลง เป็นแรงจูงใจและเป็นธรรมสำหรับคนกรุงเทพฯส่วนใหญ่ บริษัทประเทศไทยก็จะได้ประโยชน์ ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อน้ำมันดิบราคาแพงๆจากต่างประเทศ คนกรุงเทพฯจะได้มีโอกาส มีเวลามากขึ้น ไปเดินเล่นในสวนแห่งใหม่ (ที่อยู่ในความฝันของผม) กับครอบครัว กับสุนัขตัวโปรด น่าจะดีกว่านั่งเล่นทวีตเตอร์ระหว่างรถติดเป็นชั่วโมงๆ
คุยได้แค่การลงทุนภายใน ๔-๖ ปีหน้าและเป็นเพียงแผนบางส่วนที่ควรมีการปรับจากแผนไทยเข็มแข็งเดิม ยุทธศาสตร์ทางออก (exit strategy) คือปรับการลงทุนใหม่และพยายามใช้เงินลงทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะถ้าเป็นส่วนของเทคโนโลยี่และการบริหารจัดการที่รัฐยังบกพร่อง ควรให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมที่เรียกว่า พี พี พี ( Public Private Partnership ) เพื่อแบ่งภาระและมีประสิทธิภาพมากกว่าในการบริหารจัดการ
สรุปข้อเสนอของผมได้ว่าเป็นการลงทุนเพื่อแก้ปัญหาความแออัดของกรุงเทพฯ เป็นการสร้างทางเลือก เป็นการสร้างเมืองท่าให้ครบสมบูรณ์แบบ สร้างความเจริญไปยังเมืองท่าทางชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นครับ บริษัทฯประเทศไทยยังต้องลงทุนอีกมาก คงไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่แหลมฉบัง ผมชี้ให้เห็นว่าถ้าลงทุนอย่างมีเป้าหมายแล้วเราได้อะไร ถ้าตามแผนนี้ เราได้ harbor city ที่มีความพร้อม ได้รถไฟความเร็วสูง ได้รถไฟฟ้าใต้ดิน กรุงเทพฯมีสองสนามบินที่ได้มาตรฐานต่อเชื่อมกัน ได้รถประจำทางใหม่พร้อมการปรับเส้นทางเดินรถ
ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯนี้ถูกหักเงินเดือนทุกเดือนส่งให้รัฐฯตลอดระยะเวลาที่ทำงาน ตลอดชีวิตก็ว่าได้ รวมแล้วเป็นเงินจำนวนมหาศาล ผู้ถือหุ้นต้องควบคุมไม่ปล่อยให้รัฐบาลนำเงินไปลงทุนอย่างเปะปะ ไร้ทิศทาง บางครั้งเพียงเพียงเพื่อประโยชน์ของพรรคพวกและบริวาร
แนวทางการลงทุนอย่างมีเป้าหมายเพื่อนำรายได้กลับมาให้ผู้ถือหุ้น เป็นแนวทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมนี้ได้ ผู้ถือหุ้นที่ต้องผ่อนส่งเงินภาษีจากหยาดเหงือของตนเองตลอดชีวิต จะได้ผ่อนด้วยความเต็มใจเพราะรู้ว่าเงินที่เสียสละให้ มีการนำไปใช้จ่ายและได้กลับมาเป็นประโยชน์ให้กับตนเองและครอบครัว ทั้งทางตรงและทางอ้อม
สัปดาห์หน้าจะคุยเรื่องสุดท้ายคือการแบ่งผลกำไรของบริษัทฯประเทศไทยให้กับผู้ถือหุ้นอย่างเป็นธรรม ( การจัดสรรงบประมาณ) และ ทางออกเพื่อลดช่องว่างระหว่างคนมีมาก และคนมีน้อย
Tags: exit strategy