รถไฟไทย-จีน What took you so long !

Tue, Oct 26, 2010

English | เศรษฐกิจ

รถไฟไทย-จีน What took you so long !

ผ่านสภาแล้วครับ กรอบการเจรจารถไฟไทย – จีน ที่ประชุมของสภาร่วมได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ระหว่างการอภิปรายมีคำถามและข้อท้วงติงมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาตามรูปแบบของรัฐสภาไทย

และแน่นอนว่าที่ขาดไม่ได้ของการอภิปราย  คือข้อกล่าวหาการรับสินบนมูลค่า ๕๐๐ ล้านบาท  เสมือนกับว่า  ถ้าไม่ได้พูดเรื่องอย่างนี้  การอภิปรายจะดูว่าจืดชืดเกินไป   ไม่ต้องสนกันล่ะว่าใครจะเสียหายมากน้อยแค่ไหน

เมื่อรัฐบาลมีกรอบการเจรจาอยู่ในมือ   งานต่อไปคือเดินหน้าเจรจากับประเทศจีน  ต้องคุยกันถึงขั้นตกลงกันให้ได้ว่าประเทศไทย – ประเทศจีน จะร่วมมือกันอย่างไรในการพัฒนาระบบการเดินรถไฟของไทยให้ทันสมัย   เมื่อได้พูดจาจนเกิดความเข้าใจที่ตรงกันแล้ว   ต้องทำข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษร ถือเป็นบันทึกกันลืมที่เราเรียกกันว่า MOU (Memorandum Of Understanding) ครับ

รัฐธรรมนูญใหม่ของเราเคร่งครัดในเรื่องนี้   ก่อนที่รัฐบาลจะเริ่มเจรจาความกับประเทศใด ต้องนำกรอบการเจรจาให้สภาเห็นชอบก่อน  แล้วถึงเริ่มเจรจาได้   เมื่อตกลงเป็นที่เรียบร้อย  จะลงนามใน MOU ทันทีไม่ได้  ต้องนำร่าง MOU ส่งให้สภาดูอีกครั้ง   สภาจะพิจารณาว่าฝ่ายบริหารได้เจรจานอกกรอบจากที่มอบให้หรือไม่  หรือ  เจรจาแล้วดูท่าว่าประเทศอาจเสียเปรียบ   สภามีสิทธิ์ไม่เห็นด้วยและไม่ให้ความเห็นชอบ MOU ก็ย่อมได้  ถ้าเกิดเหตุอย่างนั้น ฝ่ายบริหารต้องนำประเด็นกลับไปเจรจาใหม่ครับ

สภาจะปิดประชุมสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้  และจะเปิดอีกครั้งปลายเดือนมกราคมปีหน้า  รัฐบาลคงจะเจรจาแล้วนำ MOU กลับมาให้สภาพิจารณาไม่ทันในสมัยประชุมครั้งนี้   ต้องรอต้นปีหน้า   ถ้ามีการยุบสภา  รัฐบาลใหม่ก็ต้องรับลูกต่อไป

การเจรจาเพื่อให้ได้ MOU จะใช้เวลานานหรือไม่อย่างไร   ตอบได้ว่าถ้ารัฐบาลมีความพร้อมและเตรียมตัวไว้ดี การเจรจาก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินไปนัก

ก่อนการเจรจารัฐบาลต้องทำความเข้าใจคู่เจรจาคือ จีน เหมือนกันว่าจีนคิดอะไรในใจ  อาจเริ่มต้นโดยดูจากข้อตกลงที่จีนได้ลงนาม MOU ไว้แล้วกับลาวก็ได้ครับ

ประเด็นสำคัญของข้อตกลง MOU ลาว – จีน คือความร่วมมือในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน  ทั้งสองฝ่ายตกลงถือหุ้นฝ่ายละ ๕๐%   ลาวใช้ที่ดินบนเส้นทางเดินรถไฟตีเป็นมูลค่าหุ้น   ส่วนจีนรับผิดชอบส่วนที่เหลือ ขาดทุนหรือกำไร จากการบริหารโดยบริษัทร่วมทุน  ผู้ถือหุ้นแบ่งตามสัดส่วนของการลงทุน ในกรณีนี้คือฝ่ายละครึ่ง  ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ

MOU ระหว่างไทยและจีน คงจะไม่เหมือน MOU ลาว – จีน  เพราะฐานะทางเศรษฐกิจของไทยและลาวต่างกันพอสมควร ในเบื้องต้นผมเชื่อว่าการตั้งบริษัทร่วมทุนเป็นแนวทางที่น่าสนใจ  เป็นการมีข้อผูกพันที่ชัดเจน   ผมอยากเห็นไทยถือหุ้นมากกว่าจีนเล็กน้อย  ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล  ส่วนเงินลงทุนค่าหุ้นน่าจะเป็นเงินสดด้วยกันทั้งสองฝ่าย  มีความคล่องตัว ไม่ยุ่งยาก  ไม่ต้องเสียเวลาประเมินทรัพย์สิน   ประเด็นอื่นๆที่ต้องเจรจามีอีกมากครับ แต่เร็วเกินไปที่จะมาพูดคุยให้ฟังในขณะนี้

หลักคิดในการเจรจาคือต้องเป็นหุ้นส่วนกันอย่างแท้จริง   ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ คู่เจรจาต้องไม่คิดว่าจะเจรจาให้ได้เปรียบ   แต่ต้องยึดหลักว่าถ้างานนี้สำเร็จ  ถ้าได้ก็ได้ด้วยกันและถ้าเสียหาย  โครงการขาดทุนก็ช่วยกันแบ่งรับภาระ

การเจรจากรอบความร่วมมือในครั้งนี้จะเน้นไปในเรื่องของรูปแบบการลงทุนเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนไทย-จีน หลังจากนั้นจะเป็นเรื่องของที่มาของแหล่งเงินทุน และเงินที่ต้องกู้มาเพื่อใช้ในการบริหารและการก่อสร้าง   รวมถึงเรื่องของสิทธิในการเดินรถไฟและระยะเวลา  เรื่องของเส้นทางคงจะต้องนำผลการศึกษาเบื้องต้น ( Feasibility Study ) ซึงจะมีการดำเนินการทันที  มาประกอบในการพิจารณา แต่เชื่อว่าระยะแรกหนีไม่พ้น หนองคาย-กทม.

ความสำคัญของการรถไฟไทย   การมีส่วนร่วมโดยเฉพาะการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบริษัทไทย-จีนใหม่ไปยังการรถไฟไทย   รวมทั้งแนวคิดของการให้บริการที่เสริมประโยชน์ของกันและกันในทางธุรกิจ เป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้เป็นอันขาด

ผู้ที่ควรมีส่วนเกี่ยวข้องในการเจรจาครั้งนี้คือ กระทรวงการคลัง  กระทรวงคมนาคม กระทรวงต่างประเทศ และฝ่ายความมั่นคง  งานนี้เกี่ยวข้องหลายกระทรวง ไม่ใช่เพียงกระทรวงหนึ่งกระทรวงใด ดูแล้วการเจรจาครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักแต่ไม่น่าจะเกินความสามารถของรัฐบาล

เรื่องการเจรจาคงจะคุยให้ฟังในเบื้องต้นได้เท่านี้ครับ   อยากจะเล่าที่มาที่ไปของโครงการรถไฟไทย – จีน  ซักเล็กน้อย  มีหลายท่านที่สงสัยว่าอยู่ดีๆโครงการนี้โผล่มาได้อย่างไร

ขอเริ่มจากช่วงที่ผมรับผิดชอบงานเป็นรองนายกฯดูแลเรื่องเศรษฐกิจ ผมเดินทางไปเมืองจีนกับท่านนายกฯกลางปี ๒๕๕๒ ได้พบและได้หารือราชการกับรัฐมนตรีรถไฟของจีน วันนั้นผมทำหน้าที่แทนท่านรองฯสุเทพ (ท่านรองฯสุเทพคุมกระทรวงคมนาคม) ได้หารือกันหลายเรื่องแต่ไม่ปรากฏว่ามีการสานต่อที่ชัดเจน  ผมเองก็เปลี่ยนหน้าที่ความรับผิดชอบมาเป็นเลขาธิการนายกฯ

ช่วงกลางปีที่ผ่านมาทราบว่าท่านรองนายกฯสุเทพจะไปจีน  จะไปคุยเรื่องรถไฟต่อจากที่ผมคุยไว้ (ผ่านมาเกือบปี) ผมจึงเรียนท่านรองฯสุเทพให้ลองเจรจาเรื่องการต่อเชื่อมเส้นทางที่จีนกำลังจะสร้างจากคุนหมิงมาถึงเวียงจันทน์ ว่าจีนสนใจไหมถ้าเราพร้อมให้มีการต่อเชื่อมลงไปถึงประเทศมาเลเซีย  ท่านรองนายกฯถูกอกถูกใจและบอกว่าจะพยายามเจรจาอย่างเต็มที่

ท่านรองนายกฯสุเทพกลับจากจีน   รีบนำเรื่องเข้าครม. รายงานความสำเร็จของการเจรจาและขอให้เป็นมติครม. มอบให้ผมเป็นประธานคณะกรรมการเพื่อเจรจากับประเทศจีน   ผมตั้งตัวไม่ติดเหมือนกัน  แต่ก็รับปากว่าจะรับทำหน้าที่เฉพาะช่วงของการเจรจาความร่วมมือเท่านั้น

ฝ่ายของรัฐบาลจีนพอทราบว่าคณะรัฐมนตรีของท่านนายกอภิสิทธิ์ได้ให้ความเห็นชอบในแนวความคิด   ได้ส่งทีมเจ้าหน้าที่มาไทยในทันที เป็นทีมเดียวกับที่ได้เจรจากับประเทศลาวครับ  หลังจากนั้นได้มีการหารือกับคณะของผมสามครั้ง ทั้งที่เป็นทางการและอย่างไม่เป็นทางการ  การพูดคุยเบื้องต้นทำให้ได้กรอบการเจรจานำเข้าสภาแบบที่ทราบกันอยู่แล้ว

แนวทางการพัฒนาประเทศของจีนน่าสนใจครับ   ถ้าวิเคราะห์ให้ดีแล้วจะเห็นว่าจีนคิดและทำงานอย่างเป็นระบบ คงจะต้องหมุนเทปม้วนนี้กลับไปเริ่มในปีที่จีนเข้าครอบครองเกาะฮ่องกง   วันนั้นโลกเริ่มเข้าใจในแนวความคิดของจีนมากขึ้นว่า  จีนพร้อมที่จะเดินหน้าระบอบการเมืองของจีนให้สามารถอยู่ร่วมกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมได้

จีนทุ่มเงินเพื่อพัฒนาประเทศเป็นขั้นเป็นตอน  สร้างถนน  สร้างเมือง  สร้างระบบขนส่งแบบราง   เริ่มดำเนินการเป็นระยะๆ  ทุก ๑๐-๑๕ ปี เป็นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน  สร้างรายได้ และกระจายความเจริญออกไปสู่ชนบท

จีนเริ่มต้นด้วยการสร้างเส้นทางคมนาคมส่วนที่เป็นถนน  จำได้ว่าในขณะนั้นนักวิเคราะห์หลายสำนักพูดเยาะเย้ยว่า  จีนสร้างถนนใหญ่โตสำหรับแค่ให้รถจักรยานวิ่ง วันนี้ถนนที่ว่าใหญ่โตดูว่าจะไม่พอรองรับจำนวนรถที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดมาก่อน

ต่อมาจีนเริ่มสร้างเมืองครับ  เปรียบกันไปไกลและไม่ผิดนักที่จะบอกว่า   ประเทศจีนมีเมืองขนาดใหญ่เท่าชิคาโกของสหรัฐเกิดขึ้นในประเทศจีนเดือนละ ๑ เมือง  อีกครั้งที่คนเริ่มนินทาว่าอีกไม่นานเมืองเหล่านี้จะเป็นเมืองร้าง คงต้องรอดูกันต่อไป

ช่วงนี้จีนสร้างทางรถไฟครับ  ครอบคลุมทั้งประเทศ   จีนต้องการนำความเจริญจากเมืองใหญ่ไปสู่ชนบทและไม่มีวิธีไหนจะดีไปกว่าการคมนาคมโดยระบบราง  รถไฟของจีนเป็นรถไฟที่ทันสมัย ใช้หัวรถขบวนเป็นระบบไฟฟ้า  สอาดและประหยัดพลังงาน   ถ้าขนส่งสินค้าก็จะวิ่งด้วยความเร็ว ๑๒๐ กม/ชม   ขนส่งผู้โดยสารความเร็วจะได้ถึง ๒๐๐ กม/ชม ส่วนรถไฟที่มีหัวขบวนคล้ายหัวจรวดที่เรียกว่า bullet train นั้น   วิ่งเร็วเกินกว่า ๓๐๐ กม/ชม

การขนส่งทางรางระบบแบบนี้แหละครับที่รัฐบาลไทยจะเริ่มเจรจาและนำมาใช้ในประเทศเรา หนองคายผ่านกรุงเทพฯถึงปะดังเบซาร์จะเป็นระบบรางแบบความเร็วสูงปกติคือ ๒๐๐ กม/ชม   ส่วนเส้นกทม.- ระยอง คุ้มค่าที่จะเป็น bullet train ก็น่าทำ  แต่ถ้าคิดว่าวิ่งแค่ ๒๐๐ กม/ชม พอแล้ว ค่าโดยสารจะได้ถูก เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องตัดสินใจต่อไป

พอจะมองภาพออกแล้วนะครับ  เส้นทางรถไฟจากคุนหมิง  มาเวียงจันทร์  ข้ามสะพานแม่น้ำโขง  สถานีแรก หนองคาย-อุดรธานี-ขอนแก่น-โคราช-กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์   ไปจบที่สิงค์โปร์

ประเทศไทยจะได้ประโยชน์มากที่สุด  เพราะขบวนรถไฟขบวนนี้วิ่งผ่านพื้นที่ของเรากว่า ๑,๖๐๐ กม. นักท่องเที่ยวผู้โดยสารแวะลงสถานีไหน จังหวัดไหน สร้างงานสร้างรายได้ให้จังหวัดนั้นๆ อย่างแน่นอน   ขบวนสินค้าวิ่งผ่านจังหวัดใดสินค้าของจังหวัดนั้นจะมีช่องทางระบายออกสู่ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผมถึงออกอาการทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ที่อาจทำให้โครงการนี้ล่าช้าออกไป  เสียดายโอกาสของประเทศครับ

แบ่งปันเรื่องราว:
  • Print
  • del.icio.us
  • Facebook
  • email
  • PDF
  • Twitter

Leave a Reply

You must be logged in to post a comment.

Twitter

TwitPic

กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ

กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
Korbsak.com
กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
เลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ค้นหา