กบนอกกะลา(ทำเนียบ)
ใกล้เลือกตั้ง รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยจะโดนกล่าวหาว่าเป็นรัฐบาลเป็ดง่อย (Lame duck government) คล้ายกับว่าไม่มีพลัง ขาดความน่าเชื่อถือ และถ้ารัฐบาลนำเสนอนโยบายใหม่ๆ ในช่วงนั้นก็จะถูกวิจารณ์ว่ากำลังหาเสียงหาคะแนนนิยม
รัฐบาลนายกอภิสิทธิ์กำลังก้าวเข้าสู่การบริหารราชการแผ่นดินในปีเลือกตั้ง บรรยากาศจึงไม่ได้ต่างจากการบริหารประเทศของรัฐบาลประเทศอื่นๆในระบอบประชาธิปไตย คือเป็นรัฐบาลเป็ดง่อยและเป็นรัฐบาลที่ต้องเร่งทำผลงาน เร่งหาคะแนนนิยม
ประเทศไหนปีเลือกตั้งเศรษฐกิจดี คนว่างงานน้อย รัฐบาลในขณะนั้นมักจะได้รับเลือกกลับเข้ามาใหม่ แต่ถ้าประเทศมีปัญหามากในปีเลือกตั้ง เศรษฐกิจตกต่ำ อัตราคนว่างงานไม่ลดลง มีโอกาสสูงที่รัฐบาลจะแพ้เลือกตั้ง กลายเป็นฝ่ายค้าน
ตัวอย่างที่เห็นชัดคือสหรัฐอเมริกา จำนวนสส.ของพรรคเดโมแครตลดลงไปมากในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เช่นเดียวกับญี่ปุ่น ที่ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่องเป็นเวลานาน จึงมีการเลือกตั้งบ่อยครั้ง เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีเป็นว่าเล่น
คำถามยอดฮิตของบ้านเราจากนี้ไปคือ “คุณว่าพรรคไหนจะชนะเลือกตั้ง” และถ้าท่านผู้อ่านชอบพนันขันต่อ ก็อย่าได้ไปพนันต่อรองกับใครโดยใช้หลักคิดที่ผมอ้างถึงเบื้องต้นเป็นอันขาด เพราะมีโอกาสผิดหวัง การเมืองบ้านเรายังไม่ไปถึงขั้นมาตรฐานสากล รัฐบาลชนะหรือแพ้การเลือกตั้งไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลงานแต่เพียงอย่างเดียว (แต่ถ้าไม่มีผลงานก็ดับตั้งแต่ยกแรก) ยังมีตัวแปรอื่นๆเป็นส่วนประกอบอีกมาก
วันนี้ตั้งใจจะคุยเรื่องงานของรัฐบาลที่กำลังอยู่ในความสนใจ เป็นงานที่รัฐบาลตั้งใจจะเริ่มในปีเลือกตั้ง จึงโดนข้อหาเต็มๆว่าทำเพื่อหาเสียง หาคะแนนนิยม ผมเชื่อว่ารัฐบาลคงไม่ปฎิเสธไปทั้งหมด แต่รัฐบาลมีหน้าที่ต้องอธิบายและให้ข้อมูลให้ชัดและถูกต้อง
ประเด็นสำคัญคือ ต้องชี้ให้เห็นชัดว่ารัฐบาลไม่ได้ทำโครงการในรูปแบบที่นำเงินภาษีของประชาชนไปแจกจ่ายเพื่อได้มาซึ่งคะแนนนิยม ตรงนี้สำคัญและเป็นความกังวลของผม เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมต้องมาพูดคุยกับเจ้าของเงินผู้เสียภาษี
งานที่เป็นนโยบายเร่งด่วนมีหลายส่วน ท่านนายกฯมอบหมายให้ผมรับผิดชอบส่วนค่าของชีพของครัวเรือนครับ (Cost Of Living) เน้นไปที่ค่าใช้จ่ายประจำเช่น อาหาร (พานิชย์ เกษตร) ค่าเดินทาง ไฟฟ้า ประปา (พลังงาน) เวลาของการทำงานที่วางกรอบไว้คือ ทีมงานมีเวลา ๖ สัปดาห์ เพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ปัญหา ต้องทำให้เสร็จก่อนสิ้นปี และแผนงานที่นำเสนอต้องปฎิบัติได้จริงเป็นรูปธรรมภายใน ๖ เดือน
โจทย์นี้ยากและท้าทาย ที่ยากคือการเสาะแสวงหาหัวหน้าทีมและทีมงานเพราะต้องมาทำงานแบบสุมหัวกัน ท่านนายกฯใช้คำว่าเชิญมาเข้าค่าย เวลาผมชักชวนหัวหน้าทีมและทีมงานให้มาร่วมงาน ผมบอกไปว่าขอเวลาของท่าน 7-twelve (๗ วัน ๑๒ ชม.) ๖ สัปดาห์ และที่ท้าทายคือเมื่อมีแผนปฎิบัติการที่ชัดเจน รัฐฯต้องทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมจับต้องได้ภายใน ๖ เดือน
หัวหน้าทีมที่ชักชวนมาครับ เรื่องของราคาสินค้าได้ท่านผู้ตรวจฯ ชุติมา จากกระทรวงพานิชย์ ส่วนของพลังงานได้ท่านรองปลัดฯ เมตตา จากกระทรวงพลังงาน
ผมขออธิบายถึงหลักคิดและสมมุติฐานที่นำมาใช้ในการทำแผนปฏิบัติการ แบ่งเป็นสองส่วนครับ
ส่วนที่ ๑ ราคาสินค้า
คำถามเริ่มต้นที่ ๑. ทำอย่างไรให้สินค้าราคาถูกและ ๒. ผู้ผลิตต้องไม่ขาดทุน
ทีมงานตกผลึกกันท้ายสุดว่า การแข่งขันอย่างโปร่งใสเท่านั้นที่จะทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด และต้องให้มีการแข่งขันทุกลำดับชั้นตั้งแต่จุดเริ่มต้นคือ เกษตรกรผู้ผลิต พ่อค้าคนกลาง ไปจนถึงปลายทางคือพ่อค้าแม่ขาย ที่นำสินค้าวางขายทั้งที่ในตลาดสดและในห้าง
เวลาเพียง ๖ สัปดาห์ น้อยเกินไปที่จะไปดูตัวสินค้าได้ครบ จึงได้เลือกเฉพาะ ๓ ตัวหลัก หมู ไก่เนื้อ และ ไข่ไก่เพราะเชื่อว่าทุกครัวเรือนขาด ๓ ตัวนี้ไม่ได้ (ความจริงยังมีตัวสินค้าที่สำคัญอื่นอีกเช่น ข้าวสาร ผักสด น้ำมันพืชเป็นต้น)
ส่วนที่ ๒ พลังงาน
ขอบเขตงานไม่กว้างนัก เพราะแผนงานส่วนที่จะทำให้แล้วเสร็จได้ภายใน ๖ เดือนมีไม่มาก งานสำคัญคือการปรับโครงสร้างของราคาพลังงาน ซึ่งต้องรอรัฐบาลใหม่เข้ามาสานต่อ แผนงานที่จะนำเสนอเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเพื่อให้สามารถต่อยอดให้แล้วเสร็จได้ในระยะ ๒-๓ ปี
หลักคิดการแก้ปัญหาของราคาพลังงานไม่ได้ต่างไปจากสินค้าตัวอื่นๆ ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์สูงสุดต่อเมื่อมีการแข่งขันอย่างแท้จริง และเป็นแข่งขันในทุกระดับชั้นของขบวนการผลิตจากต้นทางถึงปลายทาง
ราคาพลังงานมีเรื่องปวดหัวมากกว่าราคาสินค้าครับ ราคาพลังงานมีผลกระทบในวงกว้าง ทำให้การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ รัฐบาลที่ล้มลุกคลุกคลานจากเรื่องของราคาน้ำมันมีให้เห็นกันมากในอดีตที่ผ่านมา
การแก้ปัญหา
เมื่อทีมงานได้ตกผลึกแล้วว่าเราจะใช้หลักคิดที่ได้กล่าวไว้เบื้องต้นในการแก้ปัญหา ขั้นต่อไปคือการเข้าไปดูสภาพปัจจุบันว่ากลไกเป็นไปตามหลักคิดนี้หรือไม่ และถ้าไม่ใช่ จะปรับปรุงแก้ปัญหาให้ดีขึ้นได้อย่างไร
การเข้าไปสำรวจ ศึกษา วิเคราะห์ ทีมงานใช้เวลา ๒ สัปดาห์ ทำโดยการเชิญผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนมาพูดคุย รวมไปถึงการออกภาคสนามไปสัมผัสของจริง
ทีมงานใช้เวลาใกล้เคียงกันในการจัดทำข้อเสนอครับ มีการทดสอบภาคสนามด้วยว่าข้อเสนอนี้จะได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคหรือไม่ เช่นความคิดการขายไข่ไก่ตามน้ำหนัก ไม่ใช่ขนาดของฟอง ทีมงานขอความร่วมมือให้มีวางขายไข่ไก่แบบชั่งน้ำหนักที่ตลาดสดสองแห่งเพื่อทดสอบการตอบสนองของผู้บริโภคเป็นต้น (ผู้บริโภคตอบรับดีกว่าที่ทีมงานประเมิน)
จากนี้ไปทีมงานจะได้ปรับปรุงแผนปฎิบัติการให้สมบูรณ์เพื่อมีการนำเข้าเสนอพิจารณาในครม. กำหนดไว้อย่างช้าภายในสัปดาห์แรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รายละเอียดจะมีให้ได้เห็นกันในเวลานั้น
ที่ korbsak.com นี้จะมีรายละเอียดให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบอย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆ ครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องปูทางไว้เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้มีข้อมูลที่ถูกต้อง ก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาว่าจะเดินหน้าต่อหรือไม่ อย่างไร
สัปดาห์หน้าจะเริ่มที่เรื่องของโครงสร้างราคาของพลังงานก่อนครับ