ประชาธิปไตยแบบทักษิณ
พระราชกำหนด – พรก.การเงิน 4 ฉบับมีผลบังคับใช้เรียบร้อยแล้ว เป็นการเดินหน้าประเทศไทยตามแนว ‘ ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ‘
ถือเป็นการบริหารประเทศแบบรวบรัด เบ็ดเสร็จ ไม่ต้องเสียเวลาให้ใครมาช่วยคิด ไม่ต้องให้ตัวแทนประชาชนที่เป็นเจ้าของเงินได้ร่วมพิจารณา ไม่แคร์ในความรู้สึกของใครทั้งสิ้น เป็นประชาธิปไตยแบบทักษิณขนานแท้
ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องที่สลับซับซ้อน ประชาชนเลือกตัวแทนคือท่านสส.ให้ทำงานแทนพวกเราครั้งละ 4 ปี ประชุมวันแรกก็ขอให้ท่านสส.สรรหานายกรัฐมนตรีดีๆ เก่งๆ มาบริหารประเทศ จากนั้นนายกฯก็ต้องจัดทีมทำงานและเดินหน้าประเทศตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้
สำหรับงานหลักของท่านสส.คือการกลั่นกรองการออกกฏหมายและตรวจสอบการบริหารงานของนรม.และรัฐบาล ให้อยู่ในกรอบ ในร่องในรอย ท่านสส.กลุ่มไหนพรรคไหนที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล งานจะหนักนิดหนึ่งเพราะต้องตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้น ให้คุ้มค่าเงินเดือนที่ได้รับจากเงินภาษีของประชาชน หลักใหญ่ๆของประชาธิปไตยก็มีเท่านี้
วันนี้ผมต้องมาโวยวายรัฐบาลเรื่องการออกพรก.การเงิน 4 ฉบับ บอกตรงๆว่าไม่ชอบรัฐบาลเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว พอทำเรื่องที่กระทบกระเป๋าเงินของประชาชนโดยไม่เป็นธรรม จึงนิ่งเฉยไม่ได้
ขอคุยให้ฟังเรื่องหลักคิดเพื่อเป็นการปูพื้นก่อนครับ
สส.มีหน้าที่พิจารณากฎหมายเรียกว่าพระราชบัญญัติ กฏหมายที่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆเราจะเรียกว่าพระราชบัญญัติการเงิน ถือว่าสำคัญไม่เป็นรองใคร เพราะผูกพันกับเงินคลัง เงินภาษีของประชาชน อย่าลืมเป็นอันขาดว่าประชาชนเหนื่อยยากแสนสาหัส ทำมาหากินเพื่อให้มีรายได้มาเลี้ยงตนเองและครอบครัว เงินที่ไหลเข้ามาทุกเดือนไม่ว่าจะมาจากทางไหน เวลาไหลออกส่วนหนึ่งต้องเลี้ยวลงกระเป๋าคลังไม่มากก็น้อยทุกครั้งไป ท่านสส.ที่ทำหน้าที่ได้ดีคือสส.ที่เฝ้ากระเป๋าเงินของประชาชนได้อย่างมีประสิทธืภาพ
ประชาธิปไตยมีกรอบเขียนไว้ชัด ถ้ารัฐบาลจะใช้เงินภาษีของประชาชน รัฐบาลต้องออกกฎหมายเท่านั้นและต้องผ่านการพิจารณาของตัวแทนของเขาคือท่านสส. ‘ ก่อนมีผลบังคับใช้ ‘ ส่วนท่านสส.ที่สุมหัวกันโกงเงินของประชาชน ประชาชนก็ต้องจดจำชื่อไว้ ( ห้ามเขียนชื่อลงบนหนังหมา เพราะน้องหมาปฎิเสธคนพวกนี้) ประชาชนต้องช่วยกันหาวิธีไม่ให้คนพวกนี้กลับมาเป็น ‘ท่านสส.’ ได้อีก
ร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี…ที่สภาพิจารณาทุกปีถือเป็นกฎหมายการเงินที่สำคัญที่สุดได้ทีเดียว ท่านสส.ตัวแทนของพวกเราใหญ่คับแก้วในระหว่างการพิจารณางบประมาณ เจ้าของเงินอย่างพวกเราไม่ค่อยจะได้ใส่ใจหรอกครับ ไม่มีเวลา ต้องทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียว เงินที่ได้มาส่วนหนึ่งจะโดนหักมาส่งส่วยค่าภาษีที่เขาพิจาณากันนี่แหละ
กลับมาประเด็นของเราต่อครับ
หลังน้ำท่วมรัฐบาลต้องใช้เงินมาก เงินภาษีที่พวกเราส่งให้ทุกเดือนทุกปี นับแล้วนับอีก เท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อเงินไม่พอก็ต้องกู้เพิ่ม แถมต้องกู้เกินกว่าที่กฎหมายได้กำหนดไว้ด้วย รัฐบาลตัดสินใจออกกฎหมายการเงินฉบับพิเศษเพื่อให้สามารถกู้เงินเพิ่มได้ ความจริงไม่ใช่เรื่องแปลกพิศดารอะไร เพราะหลายครั้งหลายกรณีเรื่องฉุกเฉินอย่างนี้ต้องเปิดให้มีรูหายใจ
โดยปกติท่านสส.ตัวแทนของพวกเราจะมีหน้าที่ตรวจสอบกฎหมายการเงินพิเศษนี้ครับ ต้องช่วยกันดูว่ารัฐบาลจะกู้อีกเท่าไหร่ กู้แบบไหน เอาไปใช้ทำอะไรบ้าง เพราะถึงแม้ว่าเงินกู้นี้จะไม่ใช่เงินภาษีของประชาชน แต่ก็เป็นเงินกู้ที่พวกเรา (ลามไปถึงลูก หลาน เหลน ) ต้องส่งส่วยเป็นภาษีให้คลังนำไปใช้หนี้ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้น นาน30 – 40 ปี ทีเดียว
‘ ทักษิณคิด’ แบบรวบรัด ใช้ช่องทางพิเศษที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ ( รูหายใจที่ผมคุยไว้เมื่อสักครู่ ) ว่ากรณีคอขาดบาดตาย กฎหมายรัฐธรรมนูญอนุญาตให้รัฐบาลออกกฎหมายที่มีผลบังคับได้ทันที ( ที่เรียกว่าพระราชกำหนด-พรก.) ท่านสส.หมดสิทธิพิจารณาก่อนมีผลบังคับใช้ จะได้พิจารณา ก็ต้องหลังจากที่ได้ประกาศเป็นกฎหมายแล้วเท่านั้น การพิจารณาก็แสนง่ายคือห้ามแก้ไข ได้แค่กดปุ่ม ‘เห็นด้วย’ หรือ ‘ไม่เห็นด้วย’ เท่านั้น
ขอกล่าวหาของผมคือ พรก.ที่คลอดออกมา 4 ฉบับ ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนไปทั้งหมดและทุกฉบับเกี่ยวข้องกับวงเงินกู้เป็นจำนวนมากทั้งสิ้น ที่พูดกันมากคือพรก.ฉบับที่ให้มีการโยกภาระหนี้จำนวน1.14 ล้านล้านบาทและดอกเบี้ยไปให้ธปท.รับผิดชอบแต่ผู้เดียว ไม่ต้องเป็นนักการเงินมือฉกาจขนาดไหนก็รู้ว่า เรื่องการบริหารหนี้ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่ต้องเสร็จภายในวันนี้ พรุ่งนี้ ถึงขนาดต้องออกเป็นพรก. หลีกเลี่ยงไม่ยอมเสนอเป็นร่างพรบ. ให้ท่านสส.ได้ทำหน้าที่ปกป้องเงินภาษีของประชาชน
สิ่งที่เพื่อนๆสส.ของผมกำลังดำเนินการในขณะนี้คือการส่งเรื่องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญท่านได้พิจารณา ว่าพระราชกำหนดที่รัฐบาลผลักดันออกมานี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะเมื่อดูใส้ในของพรก.แล้ว เห็นชัดว่า ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนคอขาดบาดตายจนไม่สามารถใช้กระบวนการออกกฎหมายตามปกติได้
ผมเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่ทำร้ายประชาชน….โดย ‘ ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ‘