กบพลังงาน
ทุกครัวเรือนหนีไม่พ้นที่ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเช่น ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าก๊าซหุงต้มทุกเดือน ราคาพลังงานจึงเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวประชาชนมาก นักการเมืองกับประชาชนเป็นคู่แฝด นักการเมืองจึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของพลังงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โชคร้ายที่ราคาพลังงานมีแน้วโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธรรมชาติในเรื่องของราคา ของมีน้อย คนต้องการใช้มีมาก ราคามีแต่ขาขึ้น ไม่มีคำว่าถูกสำหรับราคาพลังงานในอนาคต
ประเทศที่ส่งออกพลังงานจึงร่ำรวยมหาศาล ขณะที่ประเทศนำเข้าพลังงานถ้าไม่มีคนมีฝีมือมาบริหารมักจะไปไม่รอด ไทยเราอยู่ประเภทหลังคือเป็นประเทศที่นำเข้าพลังงาน แต่ไม่เลวร้ายนักเพราะไทยไม่ถึงกับต้องนำเข้าพลังงานทั้งหมด บางส่วนเราพบและผลิตใช้เอง เรามีก๊าซธรรมชาติบริเวณอ่าวไทย น้ำมันดิบก็พอมีบ้างทั้งบนบกและในทะเล
โจทย์วันนี้เป็นเรื่องของราคา ที่ไม่ต้องเถียงกันมากคือส่วนของราคาพลังงานที่นำเข้า เพราะขึ้นกับราคาตลาดโลก ราคาจะขึ้นลงอย่างไรเราไม่มีทางเลือก แพงมากแค่ไหนก็ต้องซื้อ มีให้ใช้ดีกว่าไม่มีใช้เสียเลย
แต่ที่เถียงกันแล้วดูเหมือนไม่มีข้อยุติคือพลังงานที่เราค้นพบในผืนแผ่นดินไทย แนวคิดบางกลุ่มบอกว่าเมื่อเป็นทรัพยากรของเราเอง เราควรมีไว้ใช้ในราคาถูก ฝ่ายที่มีความเห็นต่างใช้เหตุผลว่า เราต้องกำหนดให้เป็นราคาตลาด ต้องไม่มีสองราคา ถ้าปล่อยให้ราคาต่ำกว่าราคาตลาด เราจะไม่รู้จักประหยัด หรืออาจมีการลักลอบนำของถูกไปขายนอกประเทศอีกต่างหาก
นักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องตรงนี้แหละครับ จะกำหนดราคาอย่างไรดีที่เป็น win-win ธรรมชาติของการเมืองคือต้องให้ประชาชนส่วนใหญ่รักไว้ก่อน นโยบายประชานิยมจึงไม่ใช่ของใหม่ มีคู่มากับประชาธิปไตยกับนักการเมืองมานานแล้ว ถ้านักการเมืองกล้าตัดสินใจนำนโยบายที่ประชาชนอาจค่อยชอบ แต่ประเทศชาติได้ประโยชน์ในระยะยาว นับได้ว่านักการเมืองนั้นมีความกล้าทางการเมือง (political will) ดูเหมือนจะเป็นคุณสมบัติที่ดี แต่นักการเมืองประเภทนี้สอบตกมานักต่อนักแล้ว
ถ้าเป็นประชานิยมจ๋า ให้ประชาชนรักมากๆ แล้วไม่มีความกล้าทางการเมืองก็ต้องอุดหนุนราคาพลังงานกันสุดลิ่ม มีให้ใช้ในราคาถูก ใชกันเพลิน ทรัพยากรนี้อาจหมดเร็ว ต้องนำเข้าเพิ่มซึ่งจะเป็นราคาตลาด รัฐฯต้องเข้าไปพยุงราคาอีก ปัญหาก็จะบานปลายในที่สุด
แต่ถ้าไม่สนใจว่าประชาชนจะเดือดร้อน เป็นวิชาการเต็มตัว ยกเลิกการอุดหนุนทั้งหมดและขายทรัพยากรของเราในราคาตลาด ผู้ผลิตจะมีรายได้ดีขึ้น มีผลกำไรมหาศาล ถ้าผู้ผลิตเป็นบริษัทของคนไทยก็ไม่ว่ากันแต่วันนี้ผู้ผลิต ( ปตท. ) ไม่ได้เป็นของพวกเราแล้ว เกือบครึ่งของผู้ถือหุ้นบริษัทฯเป็นนักลงทุนต่างชาติ รายได้นี้จะถูกแบ่งอย่างไม่เป็นธรรม
โจทย์ของท่านนายกฯ ที่มอบให้พวกเราคือ ให้ไปจัดระเบียบโครงสร้างราคาพลังงานใหม่ น้ำมัน ก๊าซหุงต้ม ไฟฟ้า เป้าหมายสุดท้ายให้เป็นระบบที่เป็นสากล ให้บริหารง่าย การเมืองยุ่งเกี่ยวได้น้อย และเป็นธรรมกับประชาชนส่วนรวมมากที่สุด ถ้าต้องปรับเปลี่ยนระบบเดิมให้ดีขึ้น ให้กำหนดช่วงของการปรับเปลี่ยนอย่างชัดเจนเพื่อให้ทุกคนสามารถปรับตัวได้ทัน ท้ายสุดคือทำให้เป็น win-win ให้ได้ ประชาชนได้ประโยชน์และไม่เสียวินัย
ผมขอเริ่มต้นที่ค่าไฟฟ้า รัฐบาลท่านนายกฯสมัครเป็นรัฐบาลแรกที่เข้าไปแบกภาระค่าไฟฟ้าให้ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย รัฐบาลท่านนายกฯอภิสิทธิ์เดินหน้าโครงการนี้ต่อ แต่มีการปรับปรุงเงื่อนไข โดยกำหนดการใช้ไฟของครัวเรือนไว้ที่ ๙๐ หน่วยต่อ ๑ มิเตอร์ ต่อ ๑ ครัวเรือนต่อเดือน ถ้าครัวเรือนใช้ไฟเกินกว่า ๙๐ หน่วย ต้องจ่ายค่าไฟตามปกติ ใครใช้ไม่เกิน ๙๐ หน่วย รัฐบาลจ่ายแทน โครงการไฟฟ้าฟรีรัฐบาลควักกระเป๋าจากเงินภาษีอุดหนุนปีละเกือบ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท
ที่ผมไม่เคยคาดมาก่อนคือตัวเลขครัวเรือนที่ได้ใช้ไฟฟรีครับ ต่างจังหวัด ๘.๕ ล้าน กทม. ๐.๖ ล้าน รวมทั้งหมด ๙.๑ ล้านครัวเรือน ครัวเรือนเฉลี่ยมีกัน ๓ คน ตัวเลขบอกเราว่าประเทศไทยมีประชากรกว่า ๒๗ ล้านคนที่อยู่ในบ้านที่มีไฟ ๒-๓ ดวง มีตู้เย็นขนาดเล็กเปิดๆปิดๆ มีทีวีดูได้ไม่เกินวันละ ๓ ช.ม. มีเตารีดอาจเสี่ยงถ้ารีดผ้านานเกิน เพราะเดี๋ยวจะใช้ไฟเกิน ๙๐ หน่วย
แสดงว่าเงินงบประมาณ เงินภาษีที่รัฐฯนำไปลงทุนผ่านรัฐวิสาหกิจ (การไฟฟ้า) เป็นหมื่นเป็นแสนล้านเพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ใช่เป็นการลงทุนเพื่อ ๒๗ ล้านคนนี้ เพราะคนเหล่านี้ยากจน ใช้ไฟฟ้าเพียงเท่าที่จำเป็น แต่เป็นการลงทุนเพื่อผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่มากกว่า
ในมุมมองของผม คนไทยทุกคนเป็นเจ้าของเงินงบประมาณ ความเป็นธรรมจึงอยู่ที่ใครได้ประโยชน์จากการใช้เงินงบประมาณมาก ควรจ่ายมาก ใครได้ประโยชน์น้อย ก็จ่ายน้อย ถ้าเราจะต้องสร้างเขื่อนเพิ่ม สร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม คนที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นนี้โดยตรงควรรับภาระตามสัดส่วนครับ
ทีมงานเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบว่าโครงสร้างราคาค่าไฟของไทย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆแล้วหน้าตาเป็นอย่างไร คนที่ใช้ไฟมาก จ่ายค่าไฟมากหรือไม่
ดูกร๊าฟด้านบนให้เข้าใจง่ายคือเส้นแนวนอนสีเขียวของไทยมีการปรับระดับสูงขึ้นช่วง 150 kwh และปรับอีกเล็กน้อยช่วง 400 kwh จาก 420-800 kwh เป็นเส้นตรงแนวนอน ส่วน ฮ่องกง สิงค์โปร์ ปรับหลายขยัก มาเลย์ปรับหลายขยักแต่เริ่มต้นค่าไฟถูกกว่าบ้านเรา กร๊าฟนี้คือคำตอบว่าผู้ใช้ไฟฟ้ามากที่สุดของบ้านเรายังจ่ายค่าไฟฟ้าในอัตราที่อาจไม่เป็นธรรมกับผู้ใช้ไฟฟ้าน้อย
ถามต่อว่าถ้าให้เกิดความเป็นธรรม ผู้ใช้ไฟฟ้าน้อยสุด (๙๐ หรือน้อยกว่าหน่วยต่อเดือน) ไม่ต้องจ่ายได้หรือไม่ แล้วให้คนที่ใช้ไฟฟ้ามากหรือมากสุดแบกรับภาระแทน ทีมงานดูตัวเลขแล้วปรับอัตราให้เป็นธรรมมากขึ้น หน้าตา กร๊าฟที่ปรับใหม่เป็นอย่างนี้ครับ
แนวนอนสีเขียวเส้นประใหม่ (TH – new illustrative) จะปรับให้มากขึ้นช่วง 400 – 450 kwh เล็กน้อย เราจะใช้ระบบค่า ft เป็นตัวแปรในการคิดค่าไฟฟ้าใหม่ จะเริ่มเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ ถ้าทำได้ตามที่ทีมงานนำเสนอ โครงการไฟฟ้าฟรีสามารถทำเป็นโครงการถาวรได้ ผู้ที่ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า ๙๐ หน่วย ไม่เสียค่าไฟ ผู้ที่ใช้ไฟฟ้ามาก จะเสียค่าไฟฟ้าในอัตราใหม่
โชคช่วยที่ค่า ft จะมีการปรับลดอยู่แล้วในเดือนพฤษภาคม จึงเป็นโอกาศดีที่รัฐบาลจะปรับการคิดค่าไฟฟ้าให้เป็นธรรมได้อย่างถาวร ผู้ใช้ไฟจะได้ปรับลดกันทุกราย ใครใช้มากสุดลดน้อยสุด ใช้มากปานกลางลดได้มากขึ้น ส่วนครัวเรือนฐานะยากจนไม่ต้องเสียค่าไฟฟ้า ปรับอัตราใหม่ทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น ไม่ต้องนำเงินภาษีปีละ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาทจุนเจืออีกต่อไป
เรื่องของไฟฟ้ามีเท่านี้ครับ
ขอต่อไปที่ราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ทุกครัวเรือนมีใช้กันถ้วนหน้า ถ้าปล่อยให้ราคาขึ้น กระทบคะแนนนิยมแน่ ประชาชนรู้ดีว่าก๊าซหุงต้มมาจากโรงแยกก๊าซที่ใช้ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเป็นวัตถุดิบ ก๊าซธรรมชาติก็ของฉัน โรงแยกก๊าซก็กู้เงินมาสร้างโดยฉันค้ำประกันให้ แล้วจะมาเอากำไรมากๆ คิดราคาตลาดได้อย่างไร นั่นคือความในใจของประชาชน
รัฐบาลที่ผ่านมาจึงไม่มีใครกล้าปรับราคาก๊าซหุงต้ม ทีมงานนำหลักคิดที่ท่านนายกฯมอบให้แล้วนำมาจัดระเบียบโครงสร้างเสียใหม่ รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างนี้ครับ
ผู้ใช้ก๊าซแอลพีจีในราคาพิเศษมี ๓ กลุ่ม ภาคอุตสาหกรรม รัฐฯช่วย 7.28 พันล้านบาทต่อปี ภาคครัวเรือนและขนส่ง (แท็กซี่) รัฐฯ ช่วย 10.63 พันล้านบาทต่อปี รวมรัฐฯอุดหนุนประมาณ 18,000 ล้านบาทต่อปี
เงิน 18,000 ล้านบาทนี้มาจากกองทุนน้ำมันครับ
ถ้ายังไม่ทราบก็ขอให้รับรู้ไว้ด้วยว่า เวลาท่านเลี้ยวรถคันงามของท่านเข้าไปในปั๊มเพื่อเติมพลังนั้น ท่านจ่ายเพิ่มจากที่ควรจ่ายรวมเบ็ดเสร็จอย่างน้อยปีละ 18,000 ล้านบาท กองทุนน้ำมันได้อำนาจพิเศษที่ไม่ควรมี คือกองทุนสามารถเรียกเก็บเงินจากประชาชนเข้ากองทุนได้โดยไม่ต้องออกเป็นกฎหมาย
ทีมงานจึงมีแนวความคิดปรับบทบาทของกองทุนเสียใหม่ จากนี้ไปกองทุนควรมีหน้าที่เพียงสองเรื่องคือ
๑. ใช้เงินกองทุนเพื่อสนับสนุนพลังงานทดแทน (ไบโอดีเซล ก๊าซโซฮอล) และ ๒. ยุทธศาสตร์การสำรองน้ำมันเท่านั้น ยกเลิกการเก็บเงินเพื่อนำมาใช้พยุงราคาก๊าซหุงต้มทั้งหมด
แปลว่าจากนี้ไปราคาก๊าซหุงต้มจะปรับตัวขึ้น และราคาน้ำมันหน้าปั๊มจะลดลงใช้หรือไม่ ?
ตอบว่าเราจะทยอยทำที่ละตัวครับ ก๊าซหุงต้มสำหรับครัวเรือนนั้นราคาจะไม่ปรับทันที อาจใช้เวลาอีกประมาณ ๓-๔ ปี ส่วนสำหรับขนส่งคือแท๊กซี่ รัฐฯสนับสนุนให้รถแท็กซี่เปลี่ยนเป็นระบบ เอ็น จี วี อยู่แล้ว อีก ๑ ปีก็คงเข้ารูปเข้ารอยได้ทั้งหมด ส่วนของอุตสาหกรรมจะยกเลิกโดยให้เป็นราคาปกติ ไม่อุดหนุนอีกต่อไป โดยให้เวลาประมาณ ๖ เดือน
เมื่อมีก๊าซสองราคาในระยะ ๓-๔ ปี รัฐฯจำเป็นต้องมีกลไกควบคุมซึ่งทีมงานได้คิดไว้อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว (ขออนุญาตไม่เข้าไปในรายละเอียด)
เมื่อยกเลิกการเก็บเงินเพื่ออุดหนุนราคาก๊าซแอล พี จี ราคาน้ำมันหน้าปั๊มจะลดลง ๑- ๒ บาทต่อลิตรทันทีในกรณีที่รัฐฯไม่มีนโยบายกันเงินไว้อุดหนุนเมื่อน้ำมันราคาขึ้น
เงินที่จะนำมาอุดหนุนราคาก๊าซแอล พี จี สำหรับก๊าซหุงต้มในครัวเรือน จะต้องใช้จากเงินงบประมาณในเบื้องต้นครับและต้องมีการแก้กฎระเบียบให้รัฐฯ สามารถใช้เงินอุดหนุนนี้จากเงินค่าภาคหลวง ที่รัฐฯ ได้รับจากการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ
ทั้งหมดเป็นงานเร่งด่วนที่เกี่ยวกับเรื่องของพลังงานที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ในระยะสั้น (๖ เดือน) และวางรากฐานสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะได้เดินหน้าในระยะปานกลางและระยะยาวต่อไป