กบผู้ฆ่ายักษ์
ช่วงนี้มีแต่คนบ่นว่าของแพงแล้วต่อว่ารัฐบาลว่าไม่เอาไหน ไม่ดูแลควบคุมราคาสินค้า ปล่อยให้ราคาขยับขึ้นเป็นว่าเล่น คนที่สนใจการเมืองตามงานของรัฐบาลมาตลอดก็อาจดักคอว่า รัฐฯทำงานรูปแบบเดิมๆ พอสินค้าขึ้นราคาก็เชิญผู้เกี่ยวข้องมาพบที่กระทรวงฯ ขอความร่วมมือตามด้วยมาตรการธงฟ้าขายสินค้าราคาถูกช่วยผู้มีรายได้น้อยทำกันอย่างนี้เป็นประจำ ผ่านมาหลายรัฐบาลเต็มที ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแม้แต่น้อย
สำหรับท่านผู้อ่านที่ได้อ่านบทความ กบนอก(ทำเนียบ)กะลา มาก่อนหน้านี้อาจจำได้ว่า ผมได้ปูทางไว้ในบทความไว้คร่าวๆ อย่างนี้ครับ
ส่วนที่ ๑ ราคาสินค้า
คำถามเริ่มต้นที่ ๑. ทำอย่างไรให้สินค้าราคาถูก และ
๒. ผู้ผลิตต้องไม่ขาดทุน
ทีมงานตกผลึกกันท้ายสุดว่า การแข่งขันอย่างโปร่งใสเท่านั้นที่จะทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด และต้องให้มีการแข่งขันทุกลำดับชั้นตั้งแต่จุดเริ่มต้นคือ เกษตรกรผู้ผลิต พ่อค้าคนกลาง ไปจนถึงปลายทางคือพ่อค้าแม่ขาย ที่นำสินค้าวางขายทั้งที่ในตลาดสดและในห้าง
เวลาเพียง ๖ สัปดาห์ น้อยเกินไปที่จะไปดูตัวสินค้าได้ครบ จึงได้เลือกเฉพาะ ๓ ตัวหลัก หมู ไก่เนื้อ และ ไข่ไก่เพราะเชื่อว่าทุกครัวเรือนขาด ๓ ตัวนี้ไม่ได้ (ความจริงยังมีตัวสินค้าที่สำคัญอื่นอีกเช่น ข้าวสาร ผักสด น้ำมันพืช เป็นต้น)
ถึงแม้ว่าเราจะเข้าไปศึกษาและวิเคราะห์ในเชิงลึกของสินค้าเพียง ๓ ตัวหลัก แนวทางการแก้ปัญหาจะช่วยแก้ปัญหาให้กับสินค้าตัวอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ความจริงตั้งใจว่าจะคุยให้ฟังถึงสภาพปัญหาของสินค้าแต่ละตัวพร้อมทั้งแผนปฎิบัติการที่ชัดเจนว่ารัฐฯจะเดินหน้าต่อเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร
ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว เพราะกลัวว่าจะเป็นเหมือนกับการเล่าที่เป็นวิชาการ คุยว่าจะแก้ปัญหาแต่ไม่พูดถึงต้นตอของปัญหาที่แท้จริงเหมือนขี่ม้าเลียบค่าย ไม่ได้บุกเข้าค่ายเสียที ผมคิดว่าถึงเวลาที่เราควรจะพูดกันตรงๆ ตามไตเติ้ลครับ “กบผู้ฆ่ายักษ์”
พูดกันแบบเสียงดังฟังชัดคือ ราคาสินค้าหลายตัวในขณะนี้มีระบบการจัดการแบบผูกขาด โดยยักษ์ใหญ่ในวงการที่ทำตัวเป็นพี่เบิ้ม กำหนดราคาได้เกือบทุกขั้นตอนของระบบ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างการผลิตหรือโครงสร้างการตลาด ความจริงเรื่องอย่างนี้รู้กันดีในแวดวงธุรกิจ แต่ไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะพูดในที่สาธารณะ
ปัญหาการทำธุรกิจของยักษ์ใหญ่ในวงการในลักษณะที่วางเป้าหมายให้ธุรกิจสามารถมีอำนาจเหนือตลาด ต้องได้รับการแก้ไข ดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบกับเกษตรกร ผู้ค้ารายย่อย และผู้บริโภคครับ
ข้อเสนอของทีมงานที่จะแก้ไขปัญหาการผูกขาด การมีอำนาจเหนือตลาด ทำได้ในเบื้องต้นอย่างนี้ครับ
๑. เรามีพ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้ามาเกือบ ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๔๒) แล้ว แต่เป็นเสือกระดาษเต็มรูปแบบ ต้องเริ่มต้นใหม่ โดยการปรับปรุงกฎหมายเช่นให้ครอบคลุมรัฐวิสาหกิจด้วย ส่วนนี้ใช้จะเวลา
๒. ทบทวนเกณฑ์ผู้มีอำนาจเหนือตลาดเสียใหม่ และจัดรูปแบบองค์กรการกำกับดูแลการแข่งขันให้ทำงานในเชิงรุก มีความคล่องตัว มีคณะทำงานติดตามข้อมูล – พฤติกรรม เช่น กำหนดมาตรการแจ้งปริมาณ สถานที่เก็บข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ต้นทุนอาหารสัตว์) งานนี้อยู่ที่กระทรวงพานิชย์
๓. ปรับปรุงโครงสร้างของคณะกรรมการนโยบายที่มีอยู่ เช่น Egg Board, Pig Board เสียใหม่ เสียดายที่บอร์ดเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เกษตรกรได้ประโยชน์เท่าที่ควร พี่เบิ้มในวงการใช้กลไกตรงนี้ครับเป็นตัวเชื่อมกับนโยบายของภาครัฐฯ เอื้อประโยชน์โดยสามารถมีส่วนในการกำหนดนโยบาย ช่องโหว่ตรงนี้ต้องแก้ไข งานนี้กระทรวงเกษตรฯรับไปเต็มๆ
ทั้งสามข้อดูสั้นง่าย แต่การทำให้เกิดผลในทางปฎิบัติจะเป็นเรื่องที่ยากสุด รัฐบาลต้องกล้าเดินหน้าแก้ปัญหาก่อนที่จะสายเกินแก้ครับ เราต้องมีมาตรการมากพอที่จะส่งสัญญานให้ยักษ์ใหญ่ได้ตระหนักว่า ท่านต้องไม่คิดที่จะมุ่งทำธุรกิจเพื่อให้มีอำนาจเหนือตลาดเหมือนที่เคยอีกต่อไป
งานสำคัญที่ต้องเดินหน้าควบคู่ไปคือ รัฐฯต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร เป็นที่ยอมรับกันว่าเกษตรกรอิสระ(รายย่อย) ยากที่จะอยู่อย่างโดดเดียว การรวมตัวกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์ เป็นทางออกที่สามารถยืนต่อสู้ในเวทีของการแข่งขันกับรายใหญ่ได้ แต่รัฐฯต้องส่งเสริมระบบสหกรณ์อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วยให้เขาสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่าย รวมถึงให้มีอำนาจการต่อรองด้านพันธุ์สัตว์ อาหารสัตว์ และการกำหนดราคาเป็นต้น
แม้กระทั่งเกษตรกรที่มีพันธสัญญา (Contract Farming) รัฐฯก็ต้องมีมาตรการดูแลไม่ให้มีการเอาเปรียบทางสัญญาระหว่างเกษตรกรกับบริษัทคู่สัญญา เช่นด้านค่าตอบแทน หรือการส่งพันธุ์สัตว์ ตามกำหนดเวลาเป็นต้น
อีกมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจคือเรื่องของอาหารสัตว์ ถ้าเราดูสินค้าสามตัวหลักไม่ว่าจะเป็น หมู ไก่เนื้อ ไข่ไก่ ต้นทุนค่าอาหารสัตว์ของไก่เนื้ออยู่ที่ 56% ของไข่ไก่ประมาณ 85% และของหมู 70% ตัวเลขบ่งบอกชัดว่าราคาสินค้าทั้งสามตัวจะขึ้นหรือลง ราคาอาหารสัตว์เป็นตัวแปรที่สำคัญอันดับต้นๆ ทีเดียว
วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง กากถั่วเหลือง บ้านเรามีข้าวโพดอยู่บ้าง มันสำปะหลังก็มีแต่ถูกแย่งไปทำเป็นเอทานอลส่วนหนึ่ง กากถั่วเหลืองเราต้องนำเข้า ข้อเสนอของทีมงานคือการเร่งเพิ่มความสามารถในผลผลิตของข้าวโพด (ผลผลิตของไทย 650 กิโลกรัมต่อไร่, สหรัฐ 1,654 กิโลกรัมต่อไร่) ที่ยังมีโอกาสเพิ่มได้อีกมาก มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการวางแผนการผลิตมันสำปะหลังให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ และการใช้ประโยชน์เป็นต้น
ยักษ์ใหญ่ได้เปรียบสุดๆ ในเรื่องของอาหารสัตว์ เขาสามารถซื้อวัตถุดิบได้ครั้งละปริมาณมากๆ ในราคาถูก และมีไซโลไว้เก็บ ส่วนเกษตรกรที่ต้องการผสมอาหารสัตว์เอง ซื้อได้เท่าที่ใช้เพราะไม่มีไซโลไว้เก็บ ซื้อน้อยก็ต้องจ่ายแพง ทำให้ต้นทุนสูงแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ไม่ได้ ทางออกคือการจับคู่สหกรณ์ของเกษตรกรปลูกข้าวโพด และสหกรณ์ของเกษตรกรที่ต้องการข้าวโพด โดยรัฐสนับสนุนด้านการเงินและการสร้างไซโลให้สหกรณ์อย่างนี้ เป็นต้น
ปัญหาการคอรัปชั่นที่เกิดจากการนำเข้ากากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปลาป่น เป็นประเด็นที่คลาสสิคในตัวของมันเอง การกำหนดให้คณะกรรมการนโยบายอาหารมีมาตรการที่โปร่งใส ผลการพิจารณาอนุญาตต้องออกตรงเวลาที่กำหนดของทุกปี ไม่ว่าจะเป็นระเบียบของกระทรวงพานิชย์หรือประกาศของกระทรวงการคลังก็ตาม มาตรการที่โปร่งใสจะลดต้นทุนการนำเข้าได้เป็นอย่างดี
ท้ายสุดคือเรื่องของตลาด ปัญหาของพ่อค้าคนกลางที่ได้ยินได้ฟังมาในอดีต อาจมีน้อยลงเพราะได้ถูกแย่งบทบาทไปพอสมควร ยักษ์ใหญ่เข้ามามีอำนาจเหนือตลาด ทำให้พ่อค้าคนกลางจ๋อยไป
เรามีผู้ค้าปลีกแบบที่เรียกว่าตลาดสดและผู้ค้าปลีกที่เราเรียกว่าการค้าสมัยใหม่ ถ้าดูผิวเผินจะมีความรู้สึกว่าการค้าสมัยใหม่ครองตลาดผู้ซื้อจำนวนมาก แต่ตามตัวเลขปรากฎว่าตรงกันข้าม การค้าสมัยใหม่มีปริมาณการค้าเพียงร้อยละ ๒๐ – ๓๐ ของปริมาณทั้งหมดเท่านั้น ประชาชนซื้อไข่ไก่ เนื้อหมู ไก่เนื้อ จากตลาดสดถึงร้อยละ ๗๐ – ๘๐
ประชาชนผู้จับจ่ายใช้สอยควรจะต้องได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อตรวจสอบราคา จะทำให้พ่อค้าต้องตื่นตัวแข่งขันกันมากขึ้น ควรให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น เช่นการซื้อขายไข่ไก่ด้วยน้ำหนักแทนขนาด ก็น่าจะช่วยทำให้ราคาสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น
รายละเอียดในแต่ละเรื่องมีมากครับ จากนี้ไปรัฐบาลคงจะได้นำข้อมูลจากการเข้าค่ายของทีมงานรวบรวมนำมาเปิดเผยที่เว็บของกระทรวงฯต่างๆ ที่รับผิดชอบ
โครงการคิดนอกกรอบ-กบนอกกะลา จะสำเร็จได้หนีไม่พ้นความร่วมมือของเพื่อนข้าราชการและผู้บังคับบัญชาระดับสูง โดยเฉพาะความสามารถของรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงและรัฐบาล
ปีนี้เป็นปีเลือกตั้ง รัฐบาลมีความกล้าที่ประกาศแผนปฎิบัติการที่จะทำให้เกิดได้จริงภายใน ๖ เดือน แต่ละเดือนที่ผ่านไปคงจะถูกประชาชนตรวจสอบการทำงานอย่างเข้มข้น ฟังดูแล้วก็ตื่นเต้นดีเหมือนกัน