อุ่นเครื่องนโยบายเศรษฐกิจ
เวลาเหมือนมีปีก บินไปเร็วเสียเหลือเกิน ผมได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานยุทธศาสตร์และนโยบายเพื่อใช้ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเมื่อต้นปี เผลอแป๊บเดียวใกล้เวลาที่ท่านนายกจะประกาศยุบสภาแล้ว
ตามด้วยกกต.กำหนดวันเลือกตั้งระหว่าง ๔๕ – ๖๐ วันหลังวันยุบสภาตามที่กฎหมายกำหนด ช่วงนี้จึงเหมือนกับการ warm up เรียกว่าอุ่นเครื่องเรียกน้ำย่อย ๓ สัปดาห์จากนี้ไปจะมีข่าวการเมืองมากขึ้น จากหัวขบวนคือพรรคการเมืองรวมตัวกัน เป็นพันธมิตรกัน ไปถึงตัวผู้สมัครสส. ที่เริ่มมีการขยับกันบ้าง แต่การย้ายพรรคของสส.จะเห็นชัดขึ้นก็ต้องหลังยุบสภาแล้วละครับ เป็นกลยุทธ์ของท่านสส. จะย้ายพรรคต้องทำหลังสุด พรรคเก่าที่ตนเองสังกัดจะได้หาตัวแทนมาลงสนามแข่งไม่ทัน การเมืองแบบไทยไทย
อีกข่าวหนึ่งที่จะเริ่มเข้มข้นขึ้นน่าจะเป็นเรื่องของนโยบาย สองพรรคใหญ่เปิดนโยบายที่ถือเป็นเป็นหัวใจสำคัญมาบ้างแล้ว พรรคขนาดกลางและขนาดเล็กเท่าที่จับตาดูรู้สึกว่านโยบายที่เตรียมนำเสนอน่าจะเป็นเรื่องของสมานฉันท์ แปลความว่าพร้อมจะร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคไหนก็ได้ที่จะเป็นแกนนำ ตรงนี้ก็ไม่ว่ากันหรอก อีกแบบหนึ่งของการเมืองแบบไทยไทย
พรรคใหญ่อันดับหนึ่งคือพรรคเพื่อไทยกำลังจะเปิดนโยบายเร็วๆนี้ ทราบมาว่าแนวคือ ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ และแนวนโยบายคู่ขนานคือเลือกพรรคเพื่อไทยเพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรมคนเสื้อแดงรวมทั้งเปิดทางให้คุณทักษิณกลับบ้านได้โดยไม่ต้องรับโทษตามที่ศาลท่านได้พิพากษาไว้ ส่วนนี้ไม่ใช้หน้าที่ผมที่จะวิจารณ์ ขอข้ามไปเลยครับ
พรรคประชาธิปัตย์บอกไว้อย่างนี้ครับ “ เดินหน้าต่อไป ด้วยนโยบายเพื่อประชาชน ” แปลความว่าคุณอภิสิทธิ์ต้องการจะบอกผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกว่า ๔๐ ล้านคนว่า คุณอภิสิทธิ์พร้อมจะสานงานต่อจากที่ได้ดำเนินการไว้แล้วสองปีที่ผ่านมาด้วยนโยบายเพื่อประชาชน พร้อมทั้งมีแผนงานที่ชัดเจนว่าจะทำอย่างไรให้นโยบายนี้เกิดได้จริง
นโยบายเป็นแนวความคิด บางครั้งเปรียบเหมือนความฝัน ส่วนใหญ่จะสวยหรู ฟังแล้วดูดี นโยบายที่ไม่ดี ไม่ได้เรื่อง ไม่ค่อยจะได้เห็น ประเด็นคือต้องดูว่าเป็นนโยบายที่ทำได้จริงหรือเปล่า ถ้านำไปปฏิบัติไม่ได้ นโยบายก็เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น ผมและเพื่อนๆทีมงานมีหน้าที่คิดนโยบายและต้องเตรียมแผนงานที่ปฏิบัติได้จริงไว้ให้พร้อม ถ้าชนะเลือกตั้งก็ไม่ต้องเสียเวลานั่งวางแผน ทำงานได้ทันที ไม่ต้องเริ่มต้นกันใหม่ ไม่ต้องขอเวลา ๙๙ วัน
นโยบายสำคัญสุดเป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจครับ
วันนี้ทั่วโลกเดือดร้อนเรื่องปัญหาค่าครองชีพ ของแพง ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปในระดับราคาแบบเดิมๆได้ในเร็ววัน ภัยธรรมชาติ ความขัดแย้งระหว่างประเทศและภายในประเทศกันเอง ตามภูมิภาคต่างๆ ทำให้ทั่วโลกเดือดร้อนกันไปหมด และแน่นอนคนไทยก็พลอยเดือดร้อนตามไปด้วย เพราะโลกใบนี้เล็กลงทุกวัน
ประเทศที่คนของเขามีรายได้ดีก็ยังมีเงินมากพอในกระเป๋าไว้ต่อสู้กับของแพงได้ แต่ที่บ้านเรา คนของเราส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำกว่ามาตรฐาน เมื่อเกิดวิกฤติของแพง พี่น้องประชาชนจึงเดือดร้อนและเป็นปัญหาที่หนักมาก
นโยบายหลักของพรรคประชาธิปัตย์คือการเพิ่มรายได้ เราเสนอให้ปรับเพิ่มรายได้ขั้นต่ำอีกร้อยละ ๒๕ ภายในสองปี เพิ่มรายได้ไม่ได้ทำให้ของถูกลง และถ้ากระทรวงพานิชย์ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ของอาจจะแพงขึ้นไปจนเงินที่ได้เพิ่มอาจไม่เพียงพอก็ได้ ท่านผู้อ่านคงมองเห็นภาพออก งานทุกอย่างจึงต้องทำควบคู่กันไป ทั้งควบคุมราคาสินค้า และเพิ่มรายได้ครับ
อุ่นเครี่องในวันนี้ผมขอคุยเรื่องค่าแรงขั้นต่ำก่อน
ทำไมต้องปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายมาก ดูจากกราฟนี้แล้วจะเข้าใจได้ทันที
บางท่านอาจเถียงว่าเปรียบเทียบแบบนี้ไม่ได้เพราะค่าครองชีพต่างกันในแต่ละประทศ จริงครับ แต่เมื่อนำมาคิดรวมแล้วอันดับของเราก็ยังไม่สูงกว่าฟิลิปปินส์
ถ้าเราได้เป็นรัฐบาล หน้าตาค่าแรงขั้นต่ำจะเป็นอย่างนี้ครับ
ค่าแรงขั้นต่ำเปรียบเสมือนจุดเริ่มต้น เมื่อเราขยับจุดเริ่มต้น จะมีผลกระทบ (ripple effect ) เหมือนคลื่นครับ ค่าแรงในระดับอื่นๆก็จะขยับตามกันไป
งานที่จะทำนี้ต้องมีแผนงานรองรับ ถ้าค่าแรงปรับขึ้น รัฐก็ต้องมีมาตรการช่วยเหลือผู้ที่จะได้รับผลกระทบให้พร้อม กราฟนี้อธิบายไว้ชัดเจน
สองแท่งที่แสดงไว้สูงเท่ากัน แต่ถ้าดูจากแทบสีจะเห็นว่าต่างกัน ความหมายคือส่วนประกอบของราคา( ความสูงของแท่ง) เท่ากัน แต่ส่วนสีน้ำเงินที่เป็นค่าแรง แท่งทางขวาจะปรับสูงขึ้น และไปลดในส่วนสีอิ่นๆแทน แปลง่ายๆว่า ค่าขนส่ง ค่าภาษี ค่าประกอบการ รัฐช่วยทำให้ปรับลดลงได้ ที่ได้ลดลงก็ขอให้มาช่วยค่าแรงแทน
เรื่องนี้เรื่องใหญ่ มีผลกระทบในวงกว้าง ผมขอพูดแบบหัวชนฝาว่าเรื่องค่าแรงขั้นต่ำต้องปรับ ไม่ทำไม่ได้ คนไทยส่วนใหญ่ใช้ชีวิตการเป็นอยู่อย่างต่ำกว่ามาตราฐานมาก รัฐบาลที่ดีต้องเข้าใจและแก้จุดอ่อนตรงนี้ให้ได้
ประเทศไทยต้องก้าวต่อไปอีกหนึ่งระดับ เราต้องไม่ให้ไครมาบอกว่า มาลงทุนในไทยดีนะ ค่าแรงถูก เป้าหมายของเราคือ คนเราเก่ง ค่าแรงสมเหตุผล เมืองเราน่าอยู่ มาเที่ยวไทยก็ต้องไม่ใช่เพราะเมืองไทยถูก แต่เพราะเมืองไทยสวย อาหารอร่อย ปลอดภัย คนไทยน่ารัก
มาตรการสำคัญที่สุดคือโครงสร้างภาษี ต้องปรับใหม่โดยใช้หลักคิดว่า คนขยันทำงานไม่ควรต้องจ่ายภาษีมาก แต่คนที่บริโภคมากต่างหากที่ต้องรับภาระภาษีไปเต็มๆ เรื่องภาษีเป็นการบ้านใหญ่ที่รัฐบาลชุดหน้าต้องเดินหน้าต่อทันที
ถัดไปคือการจัดลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินงบประมาณของรัฐฯ เลิกเสียทีกับคำพูดสวยหรูว่าจะมีวินัยทางการคลัง คนพูดเข้าใจแค่ไหนผมยังกังขา เงินภาษีมาจากหยาดเหงื่อของคนไทยทุกคน จะใช้ให้เกิดประโยชน์ต้องจัดลำดับความสำคัญเพราะเรามีเงินไม่มาก จัดลำดับเป็น จัดระบบให้โกงยากขึ้น เงินงบประมาณมีไม่มาก แต่ถ้าทำเป็น ใช้เป็น ก็เพียงพอครับ
นโยบายของพรรคต้องการเพิ่มรายได้ให้กับคนทำงานทุกคน หัวใจสำคัญคือการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศให้มากขึ้น การลงทุนเพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้จึงมีความสำคัญยิ่ง ประชาธิปัตย์จึงเสนอโครงการรถไฟ ไทย – จีน โครงการเมืองท่า( harbor city )ที่ระยอง แหลมฉบัง รวมถึงรถไฟความเร็วสูง ระหว่างสนามบินสุวรรณภูมิ – ระยอง เป็นตัวอย่างของการลงทุนเพื่อประหยัดค่าขนส่งโดยระบบราง และลดค่าใช้จ่ายที่จุดเข้าออกของประเทศ ( ท่าเรือ สนามบิน )
ประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้น หมายถึงมีงานให้ทำมากขึ้น รัฐบาลต้องทำให้เศรษฐกิจเติบโตในระดับที่ตลาดแรงงานเป็นตลาดของลูกจ้าง หมายถึงลูกจ้างเลือกงานได้ เงินเดือนก็จะเพิ่มขึ้นตามกลไกของมันเอง การศึกษาอย่างมีคุณภาพ การเพิ่มทักษะให้กับผู้ใช้แรงงาน เหล่านี้คือส่วนที่รัฐบาลต้องจัดงบประมาณสนับสนุนไว้ในอันดับต้นๆ แรงงานมีฝีมือ คนงานมีคุณภาพ แปลว่าเงินเดือนดีครับ
ไม่ใช่คนไทยทุกคนจะมีอนาคตสดใสไปทั้งหมด ต้องยอมรับว่าสังคมทุกสังคมย่อมมีผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุที่ขาดคนดูแล นโยบายและเม็ดเงินงบประมาณที่เตรียมไว้จะต้องสามารถดูแลพี่น้องร่วมชาติเหล่านี้ได้เช่นกัน
มีอีกมากสำหรับแผนงานที่ได้เตรียมไว้ วันนี้ถือเป็นการอุ่นเครื่องก็แล้วกันครับ ยุบสภาแล้วคงมีอีกหลายเวทีที่พวกเราจะได้มีโอกาสได้พูดคุยถึงเรื่องเหล่านี้ในรายละเอียดต่อไป เท่านี้ก่อนครับ