กองทุนมั่งคั่ง (1)-At the beginning
ที่จะคุยให้ฟังสัปดาห์นี้เนื้อเรื่องจะหนักไปนิด อาจต้องอ่านหลายครั้งเพื่อให้เกิดความเข้าใจ แต่น่าจะเป็นประโยชน์ในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าของเงิน เป็นเจ้าของประเทศ
ประเทศไทยของท่านทำมาค้าขายกับนานาประเทศทั่วโลก การค้าการขายทำให้เกิดทั้งรายได้และรายจ่าย รายได้อาจเกิดจากการส่งออกสินค้า จากการท่องเที่ยว รายจ่ายหลักน่าจะเป็นน้ำมัน หรือวัตถุดิบป้อนโรงงาน หรือสินค้าทั่วไป กระเป๋าถือใบแพงๆ รถเก๋งคันงามๆ
การชำระค่าสินค้าหรือบริการต้องพึ่งเงินสกุลหลักของโลก วันนี้ยังเป็นดอลล่าห์สหรัฐอยู่ ธนาคารชาติของเราเป็นตัวกลางที่ดูแลธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ต่างชาตินำเงินสกุลบ้านเขามาแลกเป็นเงินบาทเพื่อซื้อสินค้าไทย คนไทยจะไปเที่ยวเมืองนอกก็นำเงินบาทไปแลกเป็นเงินสกุลประเทศเป้าหมายเพื่อไปจับจ่ายใช้สอย ธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราผ่านสถาบันการเงินทั่วไป แต่ท้ายสุดมาลงที่ธนาคารแห่งประเทศไทยครับ
ถ้าประเทศนี้ค้าขายแล้วผลปรากฎว่ามีเงินเข้ามากกว่าเงินออก ถือว่าเป็นกำไร ประเทศมั่งคั่ง เงินที่เรียกว่าเงินสำรองระหว่างประเทศที่เป็นเงินตราต่างประเทศก็จะมีมาก และในทางกลับกันถ้าประเทศค้าขายขาดทุน เงินส่วนนี้ก็จะมีน้อยลง หรือเกลี้ยงกระเป๋า หมายความว่าประเทศเดือดร้อน เศรษฐกิจไปไม่รอด ล่มสลาย ผู้บริหารประเทศต้องวิ่งเข้าหา ไอเอ็มเอฟ ขอกู้เงินไว้มาสำรองเพื่อให้ประเทศคู่ค้ามั่นใจได้ว่าเราจะมีเงินชำระค่าสินค้าหรือค่าบริการ
พอได้ยินคำว่าไอเอ็มเอฟ ท่านผู้อ่านคงจะขนหัวลุก จำเหตุการณ์วิกฤติต้มยำกุ้งกันได้ว่าคนไทยลำบากกันแค่ไหน รัฐบาลในขณะนั้นบริหารประเทศผิดพลาด ใช้เงินสำรองที่เรามีสะสมไว้จากการค้าขายกำไรมาหลายสิบปีจนหมดหน้าตัก ประเทศไทยต้องวิ่งเข้าหา ไอเอ็มเอฟ เป็นครั้งแรก เป็นบทเรียนที่แสนแพงจากการมีรัฐบาลที่ไม่เอาอ่าว ไร้ฝีมือ ขาดความรับผิดชอบในสมัยนั้น
หลังจากบทเรียนที่ขมขื่น ประเทศเริ่มกลับมายืนได้อีกครั้ง หลายปีที่ผ่านมาประเทศนี้ค้าขายมีกำไร ทำให้เงินสำรองที่เป็นเงินตราต่างประเทศอยู่ในระดับที่สูง สูงเป็นประวัติการณ์ครับ วันที่คุณอภิสิทธิ์ลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ( กรกฎาคม 2554 ) เงินสำรองระหว่างประเทศมีสูงถึง 187,638.66 ล้านเหรียญดอลล่าห์สหรัฐ เทียบกับวันที่รับตำแหน่งเมื่อเดือนธันวาคม 2551 ตัวเลขเงินสำรองอยู่ที่ 111,008.02 ล้านเหรียญดอลล่าห์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเกือบ 80 % ภายในเวลาสั้นๆเพียงสองปีเศษ
(อยากเห็นภาพว่าฐานะประเทศดีขึ้นมากแค่ไหน อาจเปรียบกับตัวเลขก่อนวิกฤติก็ได้ ก่อนวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2539 มีเงินสำรองประมาณ 38,000 ล้านเหรียญดอลล่าห์สหรัฐเท่านั้น)
ความจริงเงินสำรองของประเทศที่สูงมากในครั้งนี้ไม่ได้มาจากการค้าขายที่มีกำไรเพียงอย่างเดียว แต่มีตัวเลขที่เกิดจากการแทรกแซงค่าเงินของธนาคารชาติแฝงอยู่ด้วย เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารชาติบางท่านเท่านั้นที่รู้ตัวเลขจริงว่าเราใช้เงินในการแทรกแซง (เพื่อรักษาระดับค่าเงินบาทไม่ให้อ่อนหรือแข็งเกินไป) ไปแล้วเป็นจำนวนเท่าไหร่กันแน่
อ่านมาถึงตอนนี้ชักจะงงแล้วใช่ไหมครับ ถ้าจะให้เข้าใจลึกซี้งต้องอธิบายต่อว่า การแทรกแซงเงินเพื่อบริหารค่าเงินบาทเขาทำกันอย่างไร ทำไมไปเกี่ยวกับเงินกำไรของเราด้วย ผมว่าต้องขอไว้ก่อน จะไม่คุยต่อว่าเขาแทรกแซงกันแบบไหน อย่างไร จะมีคำว่า forward spot swap มาวุ่นวายในคำอธิบาย เชื่อว่าท่านผู้อ่านไม่ต้องการทราบข้อมูลลึกไปถึงว่าเขาทำกันอย่างไร อาชีพใครอาชีพมัน ปล่อยให้คนของธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่ไปดีกว่า เอาเป็นแต่เพียงว่า เงินสำรองที่เป็นเงินตราต่างประเทศไม่ใช่เงินที่ได้จากการค้าขายมีกำไรทั้งหมดก็แล้วกัน
เข้าประเด็นเสียทีครับ
มนุษย์เรานี่แปลกดีครับ ไม่มีเงินก็มีทุกข์ แต่พอเวลามีเงินมากก็หาความทุกข์ใส่ตัวอีกเหมือนเดิม รัฐบาลหลายรัฐบาลแม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยเองเริ่มปิ๊งไอเดียว่าเราไม่ควรมีเงินเก็บไว้เฉยๆ น่าจะเอาไปลงทุนให้งอกเงย ให้เกิดประโยชน์ มีการตำหนิธนาคารชาติเหมือนกันเช่น ตำหนิว่าเก็บเงินไว้เป็นสกุลดอลล่าห์ไม่ดีนะ ค่าเงินมะกันตกลงทุกวันน่าจะเก็บเป็นเงินสกุลอื่นบ้าง ความเห็นว่าจะทำอย่างไรกับเงินก้อนนี้มีหลากหลายครับ
รัฐบาลน้องสาวพตท.ทักษิณไม่ได้ประกาศนโยบายการบริหารเงินสำรองในระหว่างการหาเสียง เพราะเป็นเรื่องไกลตัวผู้มีสิทธิเลือกตั้ง พูดไปก็ไม่ทำให้ได้คะแนนเพิ่ม แต่เชื่อได้ว่าคนคิดนโยบายมองเงินก้อนนี้ตาเป็นมันอยู่ในใจมานานแล้ว จึงเร่งกระทรวงการคลังให้ผลักดันการจัดตั้งกองทุนมั่งคั่งขึ้นมาทันทีเมื่อรัฐมนตรีคลังเข้ารับหน้าที่
แนวว่าจะนำเงินบางส่วนไปลงทุนด้านพลังงาน ด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในเอเซีย อะไรทำนองนี้ คุณกรณ์อดีตรัฐมนตรีคลังกังวลว่าการเมืองจะเข้าไปวุ่นวายหาผลประโยชน์ จึงออกมาแสดงความเห็นว่าถ้าจะตั้งกองทุนก็ควรให้ปล่อยเป็นเรื่องของธนาคารแห่งประเทศไทยจะเหมาะสมกว่า นักการเมืองต้องอยู่ห่างๆ
มองรอบๆตัวเราก็จะเห็นว่าประเทศอื่นๆเขาก็มีการลงทุนลักษณะนี้เช่นกัน ขนาดของกองทุนกับที่มาของกองทุนแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นประเทศที่มีรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก เป็นรายได้จากการส่งออกน้ำมันเช่นประเทศนอร์เวย์ ยูเออี และซาอุดิอาระเบีย แต่ก็มีประเทศที่มีเงินสำรองมากที่มีรายได้จากการส่งออกสินค้าทั่วไปเหมือนกัน เช่นประเทศจีน
ผมนำตัวเลขประเทศที่ตั้งกองทุนใหญ่สุดของบางประเทศมาให้ดูด้านล่างครับ (เงินกองทุนของจีนขนาดใหญ่กว่าเงินสำรองของไทย 7 เท่า)
ลำดับประเทศกองทุนสูงสุด ขนาดกองทุน ที่มาของกองทุน
1 China $827.0 พันล้าน Non-commodity
2 United Arab Emirates $709.3 พันล้าน Oil
3 Norway $556.8 พันล้าน Oil
4 Saudi Arabia $444.4 พันล้าน Oil
35 Indonesia $0.3 พันล้าน Non- commodity
เงินสำรองของเรามีประมาณ $187.0 พันล้าน ถ้านำไปลงทั้งหมด ก็คงได้อยู่อันดับต้นๆ ถ้านำ 10% ไปลงทุนคือ $18.7 จะอยู่ในระดับใกล้เคียงอันดับที่ 23 แคนาดาที่ $14.4 พันล้าน
( ข้อมูลจาก http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_sovereign_wealth_funds )
คำถามต่อไปคือเราควรจะเดินหน้าต่ออย่างไร เรื่องนี้ต้องคุยกันอีกยาวครับ ขอเล่าให้ฟังต่อในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน
แต่มีการบ้านที่ขอฝากให้ช่วยขบคิดคือ เงินนี้เป็นของท่านผู้อ่านทุกท่าน ท่านจะบอกรัฐบาลว่าอย่างไรครับ