ค่าเงินดอลล่าร์

ค่าเงินดอลล่าร์

31 กรกฎาคม 2550

กล่าวกันว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากในขณะนี้เกิดจากเงินดอลล่าร์ที่ ได้อ่อนค่าลงมามาก คงไม่ผิดหรอกครับ ลองดูกราฟที่ผมดึงมาจากเว็บ economist.com จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เงินดอลล่าร์ต่ำค่ากว่าทุกครั้งในรอบสิบปีที่ผ่านมา

blog_ks500730

ผู้เชี่ยวชาญให้เหตุผลไว้อย่างน่าสนใจว่า ช่วงไหนที่น้ำมันราคาแพง ค่าเงินดอลล่าร์จะวิ่งสวนทาง คืออ่อนค่าลง สาเหตุเพราะคนอเมริกันใช้น้ำมันมากกว่าชาวบ้านเขาทั้งหมด ส่วนพวกที่ขายน้ำมัน ได้เงินเป็นภูเขาเลากาเพราะราคาน้ำมันที่สูง ก็มักจะนำเงินที่ได้ไปจับจ่ายใช้สอยโดยการนำเข้าสินค้าจากยุโรปมากกว่าซื้อ จากอเมริกา เงินยูโรจึงมีแต่จะขยับขึ้นเมื่อเทียบกับดอลล่าร์

ถ้าเชื่อทฤษฎีนี้แปลว่าเงินบาทน่าจะแข็งต่อไป เพราะราคาน้ำมันไม่น่าจะถูกลง และเงินดอลล่าร์คงจะอ่อนตัวต่อเนื่องไปอีก อีกผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ประเทศแถบเอเชียได้ตรึงค่าเงินของตัวเอง โดยการแทรกแซงเป็นผลให้มีดอลล่าร์สะสมไว้มากมาย (รวมทั้งพี่ไทยของเราด้วย ) และชอบปล่อยข่าวอยู่เสมอว่าจะเปลี่ยนการถือครองเงินสำรองที่เป็นดอลล่าร์ ไปเป็นเงินสกุลอื่นแทน นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ค่าของดอลล่าร์อ่อนตัวลง

สารพัดเหตุผลงัดกันขึ้นมาทำให้พวกอยากรู้อย่างผม ไม่ต้องหลับต้องนอน นั่งอ่านกันแต่บทความบทวิเคราะห์ ด้วยความอยากรู้ ท้ายที่สุดบอกตัวเองว่า ฟังหูไว้หูน่าจะดีกว่า ขอนินทานักเศรษฐศาสตร์หน่อยครับ หายากเหลือเกินที่จะมีความเห็นตรงกัน สู้วิศวะไม่ได้!!

วันนี้แบงก์ชาติของพวกเราเริ่มมีแนวความคิดว่าจะบริหารเงินสำรองที่มี มากมายถึงกว่า 7 หมื่นล้านดอลล่าร์ หรือประมาณ 2.4 ล้านล้านบาทได้อย่างไร ที่เริ่มคิดเพราะตัวเลขขาดทุนสูงขึ้นทุกวัน ผมได้เคยแสดงความเห็นไว้แล้วว่าต้องรีบดำเนินการ ผ่านมา 3-4 เดือนแล้ว เพิ่งตีโจทย์แตก

ผมขอเสนอแนวความคิดแบบกล้าคิดกล้าทำอีกสักครั้ง สุดขั้วหน่อย ไม่ใช่ผมฝันขึ้นมาเอง แต่ได้จากการหารือกับผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือหลายท่านด้วยกัน

ผมเสนอให้เราเลิกแนวคิดแทรกแซงค่าเงินครับ (guardian of currency…. no more) เพราะเราจะไม่มีวันชนะ ทำไม่ได้แล้วในโลกปัจจุบัน เมื่อเราปล่อยให้เงินไหลเข้าได้โดยอิสระ เราก็ต้องกล้าที่จะปล่อยให้เงินไหลออกได้โดยอิสระเช่นกัน ถ้าเงินไหลออกมากกว่าไหลเข้า เพราะเราค้าขายไม่เก่ง เงินบาทก็จะอ่อน แต่ถ้าเราค้าขายเก่ง ไปได้ดี เงินไหลเข้า มากกว่าเงินไหลออก บาทของเราก็จะแข็ง ทุกอย่างปล่อยให้เป็นกลไกตามที่ควรจะเป็น จะแทรกแซงเฉพาะช่วงที่มีความผันผวนผิดปกติเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น

ถ้ากล้าทำ แบงก์ชาติก็ไม่ต้องเสียเวลาไปวันหนึ่งๆ กับการแทรกแซงค่าเงิน หรือกังวลกับการวางแผนการลงทุนเงินสำรองที่ได้มาจากการแทรกแซงและมีมากเกิน ความเป็นจริง แถมขาดทุนอย่างย่อยยับอีกต่างหาก ( ขาดทุนไปมูลค่าเท่ากับสร้างรถไฟใต้ดินได้สองสายแล้ว )

นักธุรกิจเองเมื่อทราบกติกาแล้ว เขาจะปรับตัวเองได้ ช่วงแรกรัฐอาจต้องช่วยอย่างเต็มที่ไปก่อน หลังจากนั้นเขาก็จะเดินได้เอง วันนี้โลกแบน ธุรกิจไม่ได้แข่งกันเฉพาะบ้านใกล้เรือนเคียงเท่านั้น ทุกคนจากทุกมุมโลกมีโอกาสในการค้าการขายเท่าเทียมกันหมด พวกเราต้องเลิกเป็นลูกแหง่ได้แล้ว

พูดถึงเรื่องกล้าคิดกล้าทำ ชอบใจสมัยท่านนายกอานันท์ ท่านกล้าปล่อยให้มีการเปิดโรงเรียนต่างชาติอย่างเสรี วันนี้ผู้ปกครองที่มีฐานะ ดีอกดีใจไม่ต้องส่งลูกไปเรียนไกล อยู่กันที่นี่แหละ เราจึงเห็นเด็กรุ่นใหม่ พูดสองภาษา ไทยอังกฤษคล่องเท่ากัน ไม่ต้องไปถึงเมืองนอกเมืองนา เดินกันเต็มสยามสแควร์ไปหมด ผลพวงไปไกลถึงบางมหาวิทยาลัยมีภาคภาษาอังกฤษแล้ว วันนั้นถ้าไม่มีท่านอานันท์ การศึกษาของเราก็คงไม่มีความทันสมัย อย่างที่เห็นกันทุกวันนี้

ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับรัฐบาล ที่ต้องเริ่มก่อน วางกติกาให้ชัดเจน ช่วยนักธุรกิจให้เขามีปัญหาในการทำธุรกิจน้อยที่สุด ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ในการลดต้นทุน วางโครงสร้างภาษีไม่ให้ยุ่งยาก ไม่ต้องถูกค่าน้ำร้อนน้ำชาตอนนำสินค้าเข้าหรือส่งสินค้าออก ทำได้เท่านี้นักธุรกิจจะ

แฮปปี้กันถ้วนหน้าและพร้อมที่จะลุยในเวทีตลาดโลกอย่างแน่นอน โดยไม่ต้องมัวพะวักพะวนมากเกินไปว่าบาทควรจะอยู่ในระดับไหน ถามจริงเถอะ พวกที่เสนอว่าบาทควรเป็น 35 หรือ 36 หรือ 34 นะ ท่านแน่ใจหรือ!!

แบ่งปันเรื่องราว:
  • Print
  • del.icio.us
  • Facebook
  • email
  • PDF
  • Twitter

Tags: ,

Comments are closed.

Twitter

TwitPic

    " width="70" height="70" style="margin: px; border: 1px solid cccccc;" class="twitpic" />

กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ

กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
Korbsak.com
กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
เลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ค้นหา