Archive | การเมือง

ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ในสายตาฯ

Friday, November 28, 2008

ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ในสายตาฯ

28 พฤศจิกายน 2551 ได้อ่านบทความเมื่อเช้า ( 27 พ.ย. ) นี้เองครับ อ่านแล้วไม่แปลกใจ แต่ก็ไม่สบายใจเอามากๆ ผมเป็นแฟนของ The economist มานานแล้ว ได้ความรู้มากขึ้นทุกครั้งเมื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของโลก พูดคุยกับใครก็มักจะแนะนำหรืออ้างถึง The Economist มาโดยตลอด มาเริ่มติดใจก็ช่วงที่มีการปฏิวัติในประเทศเมื่อวันที่ 19 กันยายน สังเกตได้ว่าความเห็นทางการเมืองของ The Economist ที่เกี่ยวกับประเทศไทย มักจะเป็นไปในทางลบ มองในแง่ดีจับจุดยืนของ The Economist ได้ว่า ชื่นชมระบอบประชาธิปไตย จะเป็นของจริง จะเป็นของปลอมไม่ว่ากัน ขอให้มีการเลือกตั้งเป็นใช้ได้ จะซื้อเสียงขายเสียงหรือโกงเลือกตั้งก็ไม่เป็นไร The Economist มีความเห็นเสมอต้นเสมอปลายว่าถึงอย่างไรมีการเลือกตั้งดีกว่ามีการปฏิวัติ รัฐประหาร แต่ถ้ามอง The Economist ในแง่ร้าย ก็อาจเดาได้ว่า ล๊อบบี้ยิ้สต์ที่ช่วยงานด้านประชาสัมพันธ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณทำงานได้ผลเป็นอย่างยิ่ง บทความการเมืองของ The Economist ( และอีกหลายฉบับ ) จะสนับสนุน [...]

บริษัทประเทศไทย

Monday, June 16, 2008

บริษัทประเทศไทย

16 มิถุนายน 2551 ได้อ่านคอลัมน์ “ สกู๊ปหน้า ๑ ” ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเมื่อวันที่ ๙ มิ.ย. พูดถึงนโยบายแก๊ส โซฮอล์ E85 ของรัฐบาล โดยแสดงความกังวลถึงวิธีการกำหนดราคาเอทานอลและกล่าวว่า “ ราคา เอทานอลที่คนไทยผลิตได้เองปลูกได้เอง แต่ราคาซื้อขาย ประเทศไทยอ้างราคาอิงบราซิล ” ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เรื่องการกำหนดราคาเป็นปัญหาใหญ่ ไม่เพียงแต่ราคาเอทานอลเท่านั้น เรายังมีข้าว ก๊าซธรรมชาติ แอลพีจี ( ก๊าซหุงต้ม ) ผลผลิตเหล่านี้เราผลิตได้เอง แต่ราคาในตลาดโลกสูงมาก จึงเป็นคำถามว่า เราจะกำหนดราคาในประเทศอย่างไรดี เพื่อให้คนไทยเจ้าของประเทศได้รับประโยชน์ สูงสุด ผมว่าถ้าเรานำรูปแบบของธุรกิจขนาดใหญ่มาเปรียบเทียบ อาจจะเห็นภาพได้ชัดขึ้น พวกเรากันเองก็เคยได้ยินบ่อยครั้งในวงสนทนาที่ชอบมีการเปรียบเทียบว่าบริหารประเทศให้ดี ต้องบริหารแบบภาคเอกชน ให้เปรียบประเทศเป็นบริษัท พูดกันมากจนทำให้เกิดความ “ อยาก ” ที่จะ หานักธุรกิจมาเป็นผู้นำประเทศ บริษัท…ประเทศ…จะได้เจริญมั่งคั่ง กำไรดี ประชาชนในฐานะเจ้าของ ประเทศ จะได้ร่ำรวยไปด้วย ผมไม่เห็นด้วยแต่ก็ชอบในข้อเปรียบเทียบนี้ เพราะถ้าพิจารณาให้ดี [...]

สมัคร สุนทรเวช ที่ผมเคยรู้จัก

Thursday, April 3, 2008

สมัคร สุนทรเวช ที่ผมเคยรู้จัก

3 เมษายน 2551 ผมเคยรู้จักคุณสมัครครับ ผมใช้คำว่า “เคย” เพราะในสมัยหนึ่ง ผมเคยทำงานร่วมกับท่าน แต่ครั้งสุดท้ายที่ได้พบ พยายามหาโอกาสคาราวะท่าน ตอนนั้นท่านเป็นผู้ว่ากทม. แต่วันนั้นท่านไม่รับไหว้ มองแล้วก็ผ่านไป เหมือนกับว่าไม่เคยรู้จักหรือจำไม่ได้ คำว่า “ เคยรู้จัก ” คงไม่ผิดไปนัก ช่วงที่ได้มีโอกาสทำงานร่วมด้วย เป็นงานในสภา ท่านนั่งเป็นฝ่ายค้าน ผมก็อยู่ซีกฝ่ายค้านเหมือนกัน ตอนนั้นผมยังไม่ได้เข้าพรรคประชาธิปัตย์ จำได้ว่ามีการเตรียมการอภิปรายรัฐบาล ซีกฝ่ายค้านได้มีการรวมพลประสานงานเพื่อร่วมกันอภิปราย คุณสมัครเป็นโต้โผใหญ่ เป็นประธานการเตรียมการก็น่าจะพูดได้ ผมเป็นสมาชิกคนหนึ่งที่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย มีการนัดประชุมนอกสภา หลังจากประชุมเสร็จ ท่านได้ขอให้ผมไปส่งท่าน เพราะวันนั้นท่านไม่ได้ขับรถมา ( ปกติชอบขับเอง ) ขณะนั่งรถ ท่านได้คุยกับผมหลายเรื่อง จำรายละเอียดไม่ได้ครับ เพราะนานกว่า ๑๐ ปีแล้ว แต่ที่จำได้แม่นคือ สิ่งที่ท่านพูด ท่านคิด แตกต่างจากภาพที่ผมเคยมองนักการเมืองอย่างท่านไว้อย่างสิ้นเชิง เป็นไปในทางที่ดี และผมประทับใจมากในวันนั้น มากถึงขนาดที่ว่า เมื่อท่านรับอาสาเป็นผู้ว่ากทม. ( ตอนนั้นผมเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ) ผมก็ยังให้การสนับสนุน จากสโลแกนที่ว่า [...]

การเมืองมากเกินไปหรือเปล่า

Tuesday, March 18, 2008

การเมืองมากเกินไปหรือเปล่า

18 มีนาคม 2551 คุณหมอที่กระทรวงการคลังตัดสินใจเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสองโดยการ โยกงบประมาณจากเงินที่ได้มีการจัดสรรไว้โดยรัฐบาลขิงแก่ นำมาใช้ในโครงการ ตามนโยบายของพรรคพลังประชาชน และจะไม่เสนองบประมาณกลางปีเพื่อโยนเงินก้อนใหม่เข้าสู่ระบบ โดยให้เหตุผลว่าเวลาที่เหลือมีน้อยเกินไปเกรงว่าจะใช้เงินงบประมาณไม่ทัน และต้องการรักษาวินัยทางการคลังคือไม่ต้องการให้ขาดดุลงบประมาณมากจนเสีย วินัย เป็นการตัดสินใจของคุณหมอที่น่าเสียดายโอกาสครับ การจัดงบประมาณกลางปีเป็นขบวนการที่ต้องผ่านสภา คุณหมออาจจะเกรงว่าเสนองบประมาณเข้าสภาเป็นเรื่องใหญ่ ต้องผ่านแนวรบของฝ่ายค้าน เดี๋ยวจะบานปลาย ถ้าจำกันได้ สองสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝ่ายค้านได้เสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและลดค่าใช้จ่าย ของประชาชนโดยการจัดงบประมาณกลางปี เพื่อรัฐจะสามารถนำเงินก้อนใหม่มาบริหารได้ พูดง่ายๆก็คือ ถ้ารัฐบาลจะเสนอ พรบ.งบประมาณกลางปีเข้าสภา จะไม่มีแนวรบจากฝ่ายค้าน มีแต่แรงสนับสนุน หรือว่าเป็นเพราะฝ่ายค้านนำเสนอก่อน จึงไม่อาจทำตามได้ การเมืองมากเกินไปหรือเปล่า ที่ผมว่าเสียดาย เพราะวันนี้เรารอช้าไม่ได้ จำเป็นต้องเร่งให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศให้มากขึ้นโดยเร็วที่สุด การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการใช้เงินเก่า เงินที่โยกมาจากโครงการอื่นๆ อาจช่วยให้งานของรัฐบาลได้ผลตรงเป้าตามนโยบาย บ้าง แต่จะไม่ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นจากที่เคยประเมินไว้ คงถกเถียงกันได้อีกนานว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไปถูกทิศถูกทาง หรือไม่ เพราะกว่าจะรู้ผลต้องรอกันไปอีกอย่างน้อยก็ ๖ เดือนขึ้นไป วันนี้เราได้ยินนักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่าประเทศกำลังพัฒนาแถบ เอเซีย น่าจะสามารถเอาตัวให้หลุดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยของมหาอำนาจอย่าง สหรัฐได้ เพราะประเทศเหล่านี้อยู่ในฐานะที่สามารถเร่งให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศเพื่อ ทดแทนมูลค่าของการส่งออกไปสหรัฐที่จะหดตัวลง นักวิชาการใช้คำว่า decoupling หมายถึงเศรษฐกิจของโลก ไม่ได้ผูกติดกับเศรษฐกิจของประเทศยักษ์ใหญ่เช่นสหรัฐ เหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต สหรัฐมีปัญหาไม่ได้หมายถึงประเทศอื่นๆจะถดถอย มีปัญหาตามไปด้วย [...]

เหตุเกิดที่ธนาคารชาติ

Thursday, March 6, 2008

เหตุเกิดที่ธนาคารชาติ

6 มีนาคม 2551 ไม่ใช่เรื่องที่ว่าท่านผู้ว่าการจะโดนย้ายหรือไม่ เพราะนั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของท่านผู้ว่า เรื่องที่สำคัญกว่า คือมาตรการการใช้เงินบาทซื้อเงินดอลล่าร์สหรัฐ เป็นมาตรการที่ธนาคารชาติดำเนินการในการปกป้องค่าเงินบาท ไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเกินกว่าเป้าหมายที่ธนาคารวางไว้ ผมคุยเรื่องนี้ให้ฟังไว้หลายครั้ง หลายโอกาส ส่วนหนึ่งก็ด้วยความเป็นห่วง แต่ที่สำคัญกว่าคือต้องการให้ท่านผู้อ่านได้มีข้อมูลที่ครบถ้วน ผมนำตัวเลขที่บ่งบอกแก่เราว่า ธนาคารชาติได้นำเงินบาทมาซื้อเงินดอลล่าร์ สะสมไว้แล้วเป็นจำนวนเท่าใด เป็นตัวเลขระหว่าง เดือน กันยายน – เดือนมกราคม ของปี ๒๕๕๐ และ ๒๕๕๑ นำมาให้ดูเพื่อจะได้เปรียบเทียบให้ได้เห็นชัดๆว่า การแทรกแซงค่าเงินในวันนี้ ไม่ปกติ แตกต่างจากการแทรกแซงในอดีตอย่างสิ้นเชิง ตารางที่ ๑ ปี ๒๕๕๑ ดูจากบรรทัดที่ ๗ ตัวเลขซื้อล่วงหน้าสะสม เกือบ ๒๒,๐๐๐ ล้านเหรียญ หรือประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ตารางที่ ๒ ปี ๒๕๕๐ ดูจากบรรทัดที่ ๗ ตัวเลขซื้อล่วงหน้าสะสม ๗,๖๙๐ ล้านเหรียญ หรือ ประมาณ ๒๖๐,๐๐๐ ล้านบาท [...]

วัดกึ๋นรัฐบาล

Friday, February 22, 2008

วัดกึ๋นรัฐบาล

22 กุมภาพันธ์ 2551 สังเกตให้ดีครับ นโยบายประชานิยมเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนเพราะเป็นนโยบายของการ ​”ให้ ” ที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด รัฐบาลที่มีนโยบายถูกอกถูกใจประชาชน ประชาชนจะชื่นชอบและมักจะชมว่ารัฐบาลเก่ง ประชาชนไม่ต้องการที่จะรู้ราย ละเอียดว่าบริหารอย่างไร ขอเพียงว่าประชาชนจะได้อะไรเท่านั้น นโยบายให้ประชาชนกู้เงินได้โดยง่ายในรูปแบบของเงินกองทุน หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท หรือการให้เงินแบบให้เปล่า ( SML )หมู่บ้านละ 3-4 แสนบาท ไม่ต้องการคนเก่งมีฝีมือมาบริหาร แค่จัดงบประมาณที่เป็นเงินภาษีส่งลงไปที่หมู่บ้านให้ทั่วถึงทุกหมู่บ้าน คะแนนนิยมก็ไหลมาเทมา ถ้าเงินงบประมาณมีไม่เพียงพอ กู้ใหม่ได้ ไม่มีอะไรยาก รัฐมนตรีจะแสนขี้เหล่ขนาดไหนบริหารงานได้ทั้งนั้น นโยบายรักษาพยาบาลฟรีก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน เตรียมจัดหาเงินงบประมาณให้มากพอ เป็นใช้ได้ ถ้ารายได้จากภาษีขาดไปบ้าง ก็ไม่ต้องห่วง กู้อีก เป็นหนี้อีก ไม่เห็นมีใครจะรู้หรือจะกล่าวว่าอะไรได้ นโยบายนี้อาจบริหารเหนื่อยกว่ากองทุนหมู่บ้านเล็กน้อย เพราะผู้บริหารใช้เงินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องบริหารให้การรักษาพยาบาลมีคุณภาพ จึงถือได้ว่ามีความยากขึ้นระดับหนึ่ง ส่วนนโยบายโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ถือได้ว่ารัฐบาลต้องมีฝีมือในการ บริหารมากกว่างานด้านอื่นๆที่กล่าวมาในเบื้องต้น ถ้ามีเงินงบประมาณเพียงพอที่จะนำมาใช้ในการก่อสร้างได้ ก็เบาหน่อย แต่ถ้าเป็นโครงการที่ต้องกู้เงินจากแหล่งทุนทั่วไปก็จะยากขึ้นอีกนิด อยู่ที่ว่ารัฐบาลค้ำประกันให้หรือไม่ ถ้ารัฐบาลใจแข็งไม่ค้ำประกันเงินกู้ให้ จะค่อนข้างหินมาก เพราะกู้ไม่ได้ง่ายๆ ส่วนใหญ่รัฐบาลมักจะใจอ่อน ยอมค้ำประกันให้ในท้ายที่สุด เราจึงมักจะเห็นความล่าช้าของโครงการขนาดใหญ่ ยิ่งถ้าแบ่งเค้กไม่ลงตัว [...]

นักการเมือง VS ค่าของเงิน

Sunday, February 3, 2008

นักการเมือง VS ค่าของเงิน

3 กุมภาพันธ์ 2551 ผมอยู่กับการเมืองมานาน ได้ยินได้ฟังได้เห็นนักการเมืองบางคนพูดถึงเงินหรือใช้เงินแล้ว ไม่ว่าจะพบเห็นบ่อยครั้งเพียงใดก็ยังอดใจหายไม่ได้ เขามองเงินเป็นเศษกระดาษจริงๆ อาจเป็นเพราะเงินที่ผ่านมาในระบบของ การเมือง หามาง่าย จึงใช้กันอย่างง่ายๆ ถึงฤดูเลือกตั้ง เราได้ยินคำพูดที่ฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อ ที่ได้ยินเกือบทุกครั้งคือค่าตัวส.ส.เพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง คนละ 10 -20 ล้านบาทอย่างนี้เป็นต้น คนทั่วไปฟังแล้วคงจะงง เพราะตนเองทั้งชั่วชีวิตกว่าจะเก็บหอมรอมริบมีเงินเป็นล้านได้ ต้องทำงานกันจนแก่จนเฒ่าเชียวละ นี่พูดถึงเฉพาะคนที่ทำมาหากินเก่งนะ สำหรับมนุษย์เงินเดือนทั่วไป มีเงินล้านเป็นเพียงแค่ฝันกลางแดดเท่านั้นเอง การเมืองระยะหลังยิ่งหนักข้อขึ้นไปอีก ล่าสุดข่าวว่านักการเมือง You -Know -Who (ขอใช้สำนวนในหนังสือของ แฮรี่ พอตเตอร์หน่อย ) จ่ายค่าตัวส.ส.คนละ 30 ล้านบาทให้กับพรรคการเมืองเพื่อเข้าร่วมรัฐบาล ตัวเลขออกมาเหยียบ 1,000 ล้านบาท ได้ยินได้ฟังข่าวอย่างนี้แล้ว ได้แต่ภาวนาขอให้เป็นเพียงข่าวปล่อยก็แล้วกัน ค่าของเงินที่จะคุยด้วยในวันนี้ต่างกับที่กล่าวไว้ในเบื้องต้นครับ เป็นเรื่องของค่าของเงินที่พวกเราคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำรู้จัก ผมกำลังพูดถึงผลตอบแทนที่เราได้รับจากเงินสดที่เราถือไว้หรือดอกเบี้ย นั่นเอง ถ้าท่านถือเงินสดไว้ในมือ ท่านชอบที่จะเห็นอัตราดอกเบี้ยสูงเพราะเงินของท่านงอกเงยขึ้น แต่ถ้าท่านยืมเงินในอนาคตมาใช้จ่าย ท่านอยากให้ดอกเบี้ยต่ำ จะได้ไม่เป็นหนี้มากเกินกำลังที่จะใช้คืน อัตราดอกเบี้ยขึ้นหรือลง มีผู้ได้และผู้เสียผลประโยชน์ครับ ช่วงนี้เริ่มได้ยินเสียงเรียกร้องจากนักธุรกิจว่า ไทยควรจะต้องรีบตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย ความจริงเสียงเรียกร้องมีมานานแล้ว [...]

สปอตหาเสียง ประชาธิปัตย์

Tuesday, October 16, 2007

16  ตุลาคม 2550 ผ่านมา 5 สัปดาห์แล้วครับ      สปอตโฆษณาของปชป.    จะหยุดออกอากาศปลายเดือนนี้     เท่ากับว่า ปชป.ได้มีโอกาสนำแนวความคิดและนโยบายของพรรคเสนอต่อประชาชนทั่วประเทศเป็นเวลา 6 สัปดาห์เต็มๆ ถ้าอยากจะรู้ว่ามี ใครบ้างที่ได้ชม   ได้เห็นสปอตทั้งหมดที่ได้นำเสนอ    และถามต่อด้วยว่า     เมื่อได้ชมได้เห็นแล้ว    ถูกใจ  โดนใจมากน้อยเพียงใด     อาจต้องพิจารณาจากข้อมูลนี้ดูครับ คนไทยมีทีวีกันเกือบทุกหลังคาเรือน   คือประมาณร้อยละ 99    และคนไทยชมรายการโทรทัศน์กันเกือบทุกวัน  คือร้อยละ 95     การโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์จึงได้ผลมาก  เป็นการนำข้อมูลเข้าถึงตัวผู้ชมโดยตรง     แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า   สินค้าที่โฆษณาจะได้รับการตอบรับที่ดีเสมอไป ในกรณีของ ปชป.   คือประชาชนได้รับรู้ถึงนโยบายของพรรคกันโดยถ้วนหน้า     ผมได้ไปตรวจสอบมาแล้ว      ประมาณร้อยละ 70  ที่ได้เห็นสปอตของปชป.  น่าจะประมาณ 30 ล้านคนครับ สมัยก่อนพรรคการเมืองหาเสียงโดยการปราศัย     เดี๋ยวนี้ก็ยังทำกันอยู่       แต่ผมนึกไม่ออกว่าพวกเราต้องปราศัยกันกี่แห่ง   กี่เวที   ถึงจะมีคนมาฟังได้ถึง 30 ล้าน    ไม่ต้องคิดให้ปวดหัวเพราะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว    สปอตทีวีจึงแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างดี        เพราะพรรคนำนโยบายไปให้ฟัง   ให้ได้ชมกันถึงในห้องนอน  ห้องนั่งเล่น   ในครัวกันเลยล่ะ ข้อเสียและเป็นอุปสรรคสำคัญคือ  ใช้เงินมาก   [...]

ประชาชนต้องมาก่อน VS ประชานิยม

Monday, October 1, 2007

1  ตุลาคม 2550 ประชาชนต้องมาก่อน เป็นสโลแกนหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์  ส่วน ประชานิยม เป็นนโยบายที่พรรคไทยรักไทยใช้หาเสียงในอดีต มีคำว่าประชาทั้งคู่      ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเป็นการเอาใจประชาชน  เพียงแต่เอาใจกันคนละแบบ  คนละแนวทาง นโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยประสบผลสำเร็จ  โดนใจประชาชน  ทำให้พรรคได้คะแนนเสียงท่วมท้น   สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ติดต่อกันสองสมัย ประชาชนต้องมาก่อน จะได้รับการตอบรับ หรือจะโดนใจประชาชนแค่ไหน  ธันวาคมนี้คงจะทราบ แนวความคิดในการนำเสนอนโยบายของทั้งสองพรรคมีส่วนเหมือนและส่วนต่างพอจะวิเคราะห์ได้อย่างนี้ครับ ส่วนเหมือนคือ  เป็นการเอาใจประชาชนทั้งคู่ ส่วนต่างคือ  เอาใจประชาชนไม่เหมือนกัน คนละแบบ   คนละแนวความคิด ประชานิยมของไทยรักไทย  เอาใจประชาชนเต็มร้อย  เช่น แจกเงินหมู่บ้านละ  1 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านใหญ่   หมู่บ้านเล็ก  ให้เงินเท่ากันหมด   เป็นกองทุน    เป็นเงินที่ให้กู้   โดยชาวบ้านค้ำประกันระหว่างกัน  ไม่ต้องมีหลักทรัพย์เพื่อใช้ค้ำประกันเงินกู้       จำนวนเงินแบ่งกันกู้   จะกู้ไปใช้ทำอะไร    ตกลงกันเองระหว่างผู้กู้และกรรมการกองทุน    นโยบายนี้ใช้หาเสียงช่วงการเลือกตั้งสมัยแรกของพรรคไทยรักไทย     โดนใจประชาชน    ได้คะแนนสนับสนุนท่วมท้น ส่วนโครงการ  SML รัฐบาลจัดงบประมาณให้ทุกหมู่บ้าน   หมู่บ้านละ 200,000 – 300,000 บาท    ชาวบ้านจะนำเงินไปทำอะไรก็ได้    [...]

ต้องเดี๋ยวนี้

Tuesday, August 14, 2007

ต้องเดี๋ยวนี้

14 สิงหาคม 2550 ผมว่าเราช้าต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เราเสียเวลามามากแล้วครับ เราคงต้องเลิกบ่นว่าเราเกลียดทหารที่ปฎิวัติ ต้องเลิกพูดว่ารับรัฐธรรมนูญไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญร่างจากมือของคนที่ทหาร แต่งตั้ง เหตุการณ์ ปฎิวัติผ่านมาเกือบปีแล้ว ลืมมันเสีย เดินหน้าต่อกันเถอะครับ ผมเกลียดการปฎิวัติมากที่สุด ผมเสียดายที่เราไม่มีความอดทนพอที่จะรอให้เหตุการณ์สุกงอมและถ้าจะมีการ เปลี่ยนแปลงก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามระบบ ถ้าวันนั้นไม่มีการปฏิวัติ แต่เดินหน้ามีการเลือกตั้ง ให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ ยุติธรรม ไม่ให้มีการโกง ใครได้เสียงข้างมากก็ตั้งรัฐบาลไป ใครได้เสียงข้างน้อยก็ทำหน้าที่เป็นฝ่ายตรวจสอบ รัฐบาลเป็นใครก็ช่าง จะยุบสภา จะเลือกตั้งอีกกี่ครั้งกี่หนก็ต้องอดทน ถ้ามีความอดทนกันสักนิด ท้ายที่สุดเราจะไปรอด เพราะประชาชนไม่โง่ ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ฝีมือ ที่คุยนักคุยหนาว่าทำงานเก่ง ผลงานจะออกมาชัดว่าเก่งจริงหรือไม่ แต่เมื่อมันผ่านวันนั้นไปแล้ว จะมัวบ่น มัวต่อว่า มัวเดินขบวน ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกวิธีอย่างแน่นอน เดินหน้าสู่สนามเลือกตั้งดีกว่า มีประชาธิปไตย มีรัฐบาลทำงานเพื่อประชาชนกันได้แล้ว เพราะโลกไม่ได้หยุดรอเรา ขณะที่เรากำลังถกเถียงว่าจะปกครองประเทศ หรือจัดการกับบ้านกับเมืองกันอย่างไร เหลียวดูคนอื่นกันสักนิดจะดีไหม คลื่นลูกใหม่ของเอเซีย จีนและอินเดีย กำลังเดินหน้าเต็มสูบ ใครก็รู้ว่าคนจีนเป็นคนขยัน ค่าแรงงานก็ถูก แถมมีผู้ปกครองประเทศที่ชาญฉลาด เล่ากันว่าโชเฟอร์ของผู้นำจีนขับเก่งคันงามมาถึงทางแยก เลี้ยวซ้ายไประบบเผด็จการคอมมูนิสต์ เลี้ยวขวาไประบบทุนนิยม โชเฟอร์หันถามท่านผู้นำว่าจะเลี้ยวไปทางไหน ท่านผู้นำบอกว่า ไม่มีปัญหา [...]

Twitter

TwitPic

    " width="70" height="70" style="margin: px; border: 1px solid cccccc;" class="twitpic" />

กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ

กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
Korbsak.com
กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
เลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ค้นหา